ความฝัน ต้องเกิดหยาดเหงื่อจึงได้มา
ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป ดอกไม้จึงบาน
คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ
.
นิว เด็กชายฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2536
เขาเป็นลูกชายของอดีตกองหลังทีมชาติไทย ที่ชื่อว่า ไพโรจน์ พ่วงจันทร์
เจ้านิว เป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น เพราะเขาเลือกเล่นฟุตบอลเหมือนคุณพ่อ ซึ่งพาเขาไปที่สนามฟุตบอลเป็นประจำตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ด้วยความอยู่ใต้ต้น ใต้ร่มเงาความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นพ่อ นั่นทำให้คนอื่นๆ ต่างมองว่า เขาคือเด็กเส้น
ฐิติพันธ์ แบกนามสกุลพ่วงจันทร์ ไปคัดฟุตบอลที่โรงเรียนกีฬากรุงเทพมหานคร ในแบบที่ใครๆ ก็มองว่า เขามีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น ก็เพราะเขาเป็นเด็กเส้น เขาจึงได้โอกาสมากกว่าใคร แถมช่วงวัยเด็ก เจ้านิว ก็ติดทีมชาติไทย ตั้งแต่อายุ 11 ปี ในรุ่น ยู-12 ทั้งที่ตัวก็เล็กกว่าใครเพื่อน และยังไม่เก่งมากมายนัก
ผู้คนมากมายกำลังตัดสิน ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ จากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเห็น
เด็กอายุ 11 ปี เจอความกดดันอย่างหนัก
เขาไม่ตอบโต้ แต่เขาเลือกที่จะสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับสายตาของคนที่กำลังดูแคลนเขา
นัยน์ตาเดิมๆ ที่เคยดูแคลนเขา
จะต้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเพราะตัวเขาเอง
ฐิติพันธ์ฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้เพื่อนๆ ยอมรับในความสามารถ
ไม่ใช่ยอมรับที่นามสกุลพ่วงจันทร์
จากนั้น เจ้านิว ก็พิสูจน์ตัวเองตัวเองได้สำเร็จทั้งกับโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ และโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ที่เขาพาทีมจบอันดับสาม ฟุตบอล กรมพลศึกษา ถ้วย ก อายุไม่เกิน 14 ปี และติดทีมชาติไทย ชุดนักเรียนไทย 15 ปี ในเวลาต่อมา
กระทั่ง ในวัย 17 ปี เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าตัวเขาไปร่วมทีม ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาด้วยซ้ำ และในปี 2011 ฐิติพันธ์ ก็ได้สัมผัสฟุตบอลลีกอาชีพครั้งแรก ด้วยการถูกส่งไปชุบตัวที่ สุพรรณบุรี เอฟซี ในศึกดิวิชั่น 1 โดยลงสนามไป 15 เกม ยิงได้ 3 ประตู พร้อมทั้งโชว์ฟอร์มสุดยอดช่วงปลายปีกับทีมชาติไทย ชุดเยาวชน ด้วยการกดขวา ระยะไกลกว่า 30 หลาให้ ทีมชาติไทย ยู-19 ชนะ เกาหลีใต้ 1-0 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 รอบคัดเลือกที่ประเทศไทย โดยเขาเป็นตัวหลักของชุดนั้น พา ช้างศึกจูเนียร์ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายแบบที่ชนะเกาหลีใต้ 1-0 และเสมอญี่ปุ่น 0-0 ชนิดที่ไม่เสียประตูเลยทั้งสองเกม
ปี 2012 ฐิติพันธ์ ถูกดันขึ้นชุดใหญ่ กิเลนผยอง ครั้งแรก แต่เขายังไม่ได้เป็นตัวหลักของทีม เนื่องจากประสบการณ์ยังน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่แย่ซะทีเดียว เพราะเขาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากซีเนียร์ระดับทีมชาติไทยที่นั่น
ปี 2013 เขาได้ลงสนามมากขึ้นในลีก (ลง 25 เกม ตัวจริง 20 เกม) และได้โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2013 ในเกมพบทีมชาติเลบานอน ซึ่งเขายิงคนเดียว 2 ประตู ก่อนทีมชาติไทยจะพ่ายไปด้วยสกอร์ 2-5 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติไทย ชุดแชมป์ซีเกมส์ 2013 ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
ฐิติพันธ์ กลายเป็นโกลเด้นบอยทันทีในวงการลูกหนังไทย
ใครๆ ก็เริ่มจดจำเขาได้ เขาภูมิใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เขามีความฝันที่สูงขึ้น สูงขึ้น ในอนาคต
แต่อนาคต คือ สิ่งที่ไม่มีใครกำหนดได้
ไม่มีเลยจริงๆ แม้ว่าคุณจะรวยล้นฟ้า หรือเป็นลูกใครก็ตาม
กลางปี 2014 ชีวิตที่กำลังลุกโชติช่วงของเขา ก็ดับลงดั่งไฟเทียนโดนน้ำสาด
ฐิติพันธ์ได้รับบาดเจ็บหนักที่เอ็นหัวเข่าด้านซ้ายจนต้องพักรักษาตัวนานเกินครึ่งปี
ฐิติพันธ์ ไม่ได้เล่นไทยลีกในช่วงเวลาที่เหลือ
เขาได้แค่นั่งดูเพื่อนๆ เล่นในศึก เอเชี่ยนเกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้
เขาท้อทุกเวลาที่ไปดูเพื่อนลงสนามในลีก
เขาเคยนั่งกินข้าวไปร้องไห้ไป เพราะได้แค่มองเพื่อนเล่นให้ทีมชาติไทยในทีวี
เขาอยากหายเจ็บเร็วๆ เขาอยากกลับไปลงสนามอีกครั้ง
แต่การลงสนามในช่วงเวลาต่อไป มันคือช่วงที่แย่ที่สุดของเขา
ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ได้ลงสนามอีกครั้งหลังจากหายเจ็บ
แต่สิ่งที่หายไปพร้อมอาการบาดเจ็บ นั่นคือ ฟอร์มการเล่นที่เคยมี
ฐิติพันธ์ อยู่ในช่วงเวลาย่ำแย่ของชีวิตการค้าแข้ง
ฟอร์มของเขาดร็อปสุดขีด อะไรๆ ก็ดูติดขัดไปซะหมด
เขาเคยคิดด้วยซ้ำว่า เพื่อนๆ พัฒนาไปไกล ไกลจนเกินกว่าที่เขาจะไล่ตามทันแล้ว
ต้นปี 2016 เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปใหญ่ เมื่อ ฐิติพันธ์ ยิงจุดโทษไม่เข้าในเกมพบกับทีมชาติญี่ปุ่น ในศึกปรีโอลิมปิก เกมส์ 2016
เขาเล่นทัวร์นาเมนต์นั้น อย่างไม่มีความมั่นใจ กล้าๆ กลัวๆ จ่ายบอลให้เพื่อนก็ขาดๆ เกินๆ ลูกง่ายๆ ก็ทำให้มันยาก
เขาเซ็งตัวเอง เขาโมโหตัวเอง
เขารู้สึกว่า เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง
หลังจากนั้น เมื่อ ฐิติพันธ์ กลับสู่สโมสร
จากโกลเด้นบอยที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย เขาก็กลายเป็น ม้านอกสายตา เมื่อสโมสร กิเลนผยอง ตัดสินใจดึงตัว ชนาธิป, ธนบูรณ์ และ พีระพัฒน์ มาจากบีอีซี เทโรศาสน
ช่วงเวลาฮันนีมูนของผู้มาใหม่
กลายเป็นช่วงเวลานับถอยหลังของคนเก่า
ฐิติพันธ์ กลายเป็น ตัวสำรองอย่างสมบูรณ์แบบ
เขาแทบไม่เหลือความมั่นใจ
ฟอร์มก็แย่ ลงก็ไม่ได้ลง พอได้ลงสำรองก็ฟอร์มไม่ดี เพราะต้องเล่นในตำแหน่งที่ไม่ได้ถนัดเท่าไร
แบ็คขวา, ปีกขวา, กองหน้าฝั่งขวา, เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ คือตำแหน่งที่เขาถูกใช้งานในฐานะตัวสำรอง ในช่วงที่ฟอร์มตก ทั้งที่เจ้าตัว อยากเล่นในตำแหน่งกองกลางที่เขาคิดว่า เขาทำได้ดีที่สุด โดยมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นไอดอลลูกหนังส่วนตัว
ในที่สุด ส่วนเกินของ กิเลนผยอง ก็ถูกผ่องถ่ายมาหาชีวิตใหม่ที่ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ตอนเลกที่สองของปี 2016
แม้จะได้ลงสนามมากขึ้นที่จำนวน 12 เกม และยิงได้ 1 ประตู ในเลกที่สอง แต่ภาพรวมของฟอร์มการเล่น ต้องยอมรับว่า โลกใบนี้ ยังไม่ได้ เจ้านิว คืนกลับมาแบบ 100%
เขาย้อนกลับไปมองตัวเองในวันที่เขาต้องดวลกับเสียงวิจารณ์ของผู้คนรอบข้างว่าเขาเป็นเด็กเส้น
เขาเคยใช้วิธีหนึ่ง ฆ่าเสียงวิจารณ์นั้นได้ ในวัย 11 ปี
และปี 2017 ฐิติพันธ์ก็เลือกใช้วิธีเดิม ในการฆ่าความหม่นหมองทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้น
ช่วงปรีซีซั่น ปี 2017 ฐิติพันธ์ มาซ้อมก่อนคนอื่น 1-2 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อเสริมในสิ่งที่ขาด ตามคำแนะนำของโค้ช
นัดแรกของศึกไทยลีก 2017 ฐิติพันธ์ ยิงแฮตทริค ได้ตั้งแต่แมตช์แรกของฤดูกาล (ชนะ ซุปเปอร์พาวเวอร์ 4-0) และทันทีที่ เจ้านิว ยิงแฮตทริคตั้งแต่เกมแรกในไทยลีก 2017 สปอร์ตไลท์ที่ดับลงไปนาน ก็ส่องประกายไปที่ตัวเขาอีกครั้ง
มัน คือ ความเหนื่อยที่คุ้มค่าของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์
มัน คือ ความอดทนที่เขาควรได้รับรางวัลชีวิตคืน
เขากลายเป็นนักเตะดีกรี แชมป์เอฟเอคัพ กับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
เขากลายเป็นนักเตะค่าตัว 30 ล้าน หลังจากผ่านช่วงมืดดำในชีวิตมาเพียงแค่ปีครึ่ง
เขากลายเป็นตัวหลักทีมชาติไทย ชนิดที่ขาดไม่ได้ นับตั้งแต่การเข้ามาคุมทีมของ มิโลวาน ราเยวัช
แม้สิ้นปี 2018 ในฐานะนักเตะอาชีพกับสโมสรบางกอกกล๊าส เอฟซี ของเขา จะล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะสโมสรต้นสังกัดต้องตกชั้นสู่ลีก T2 แต่กับทีมชาติไทยแล้ว เขายังคงเป็นมิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ ที่ดีที่สุดจริงๆ เท่าที่ประเทศไทยจะมีอยู่ในตอนนี้
1 ประตูสำคัญ และการวิ่งพล่านทำลายจังหวะเกมรุกของคู่แข่งตลอด 90 นาที ที่สนามฮัซซา บิน ซาเยด สเตเดี้ยม ในเมืองอัล ไอน์ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาสำคัญต่อทีมชาติไทยแค่ไหน
ถ้าไม่มีประตูของเขา ทีมชาติไทย ก็อาจจะตกรอบแรก ศึกเอเชี่ยนคัพ 2019 ไปเรียบร้อยแล้วก็ได้
หากคุณกำลังเสียใจ หรือผิดหวังกับสิ่งต่างๆ รอบข้าง จนคิดว่า ชีวิตนี้ มันเลวร้ายสิ้นดี จนไม่อาจจะห้ามใจให้ไม่เสียใจได้
จงเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า สัก 1 นาที
แล้วคิดทบทวนว่า ชีวิตที่เราได้มานั้น มันแสนวิเศษแค่ไหนแล้ว
และเวลาที่ยังเหลืออยู่ มันก็คือสิ่งวิเศษที่สุดเช่นกัน
อย่ากลัวความล้มเหลวในอดีต
จงทำทุกอย่าง ในทุกช่วงเวลาที่คุณยังเหลืออยู่ ให้ดีที่สุด
และจงเชื่อมั่นไว้เสมอว่า
ความล้มเหลว มันกลัว ความพยายาม เว้ยยยยยย
จอน
15-01-2562
ปล. บทความนี้ดัดแปลงจากบทความเดิมที่ผมเคยเขียนไว้ในเพจ "ช้างศึก" เมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่ฐิติพันธ์ เป็นตัวเอกในมิวสิควิดีโอเพลง วันแรก (Shonichi) ของ BNK48
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2310726162506787&id=1786696568243085