สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ไทยแลนด์สู้ๆ คะ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา นุสิพร้อมกับเพื่อนๆ กลุ่มถลอกปอกเปิกทัวส์และกลุ่มบ้านสวนพอเพียงได้จัดทริปเฉพาะกิจ เที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอนค่ะ สำหรับสถานที่เที่ยวได้แก่ ปาย ปางอุ๋ง ดอยแม่ยะ หมู่บ้านสันติชล หมู่บ้านรักไทย จีน-ยูนาน ไร่สตอเบอรี่
จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีสถานที่เที่ยวเยอะมากค่ะ เพื่อนๆ ตามมาดูกันนะคะ ว่ามีที่ไหนบ้าง
สำหรับทริปนี้ เหมารถตู้เก็บค่าใช้จ่ายคนละ 2,000 บาท ใช้เวลา 2 คืน 3 วัน ถือว่าสั้นมากเลยเพราะเป็นการเดินทางไกลมาก เป็นค่าเหมารถตู้ ค่าน้ำมัน ค่าธรรมเนียม ไม่รวมค่าอาหาร
นุสิรวมพลเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 19.00 น. ของคืนวันที่ 16 พฤศจิกายน 55
ไปถึงห้วยน้ำดังเวลา 6.00 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555 บรรยากาศตอนที่ไปถึงฟ้าปิดค่ะ หมอกลงหนามาก อากาศเย็นสบาย ไม่หนาว ฟ้ายังคงมืดมิด แต่ฟ้าก็สางเร็วมาก แค่เวลา 6.30 ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แล้วพวกเราก็จัดแจงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
หมอกลงหนามากแต่ไม่หนาวเลยค่ะ ปีนี้ทางเหนือหนาวช้ามาก สตอเบอรี่ก็ออกผลช้าตามไปด้วย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่แห่งนี้ไม่หนาแน่นมากนัก มีโฮมสเตย์ให้พัก มีของที่ระลึกขายเล็กน้อย มีผีเสื้อลายไม้ตัวใหญ่ๆ ซึ่งเกิดมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย สวยมาก แถมเชื่องซะด้วย
พอเก็บภาพความประทับใจเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็เดินทางสู่ปางอุ๋งต่อไป 



พอหมอกเริ่มบางตา เราก็ขับรถเคลื่อนพลออกจากห้วยน้ำดัง มุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง
ไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงที่พัก ผู้หญิงแยกตัวไปอาบน้ำ ส่วนผู้ชาย รับหน้าที่กางเต้นท์ค่ะ ส่วนนุสิตา หาเสบียงเตรียมพร้อมสำหรับคืนนี้
ตอนมาถึงปางอุ๋ง คาดหวังไว้ว่า จะเห็นบรรยากาศแสงสีส้มๆ เหมือนอย่างที่เห็นในอินเตอร์เนต แต่ก็ไม่ได้เห็น เพราะฟ้าปิด หมอกลง ไม่หนามาก ใกล้พรบค่ำเต็มที มองไปกลางน้ำเห็นหงส์ 2 ตัวกำลังหยอกล้อกันอยู่ ดูมีความสุข


คืนนี้พวกเรานอนดูดาวกันจนถึง ตี 1.30 น. บางคนหลับเพราะฤทธิ์สุรา พอตกกลางคืนอากาศเริ่มหนาวเย็น ต่างคนต่างมุดเข้าเต้นท์ นุสิเริ่มตื่นเวลา 5.00 น. ภาวนาให้ถึงเช้าเร็วๆ เพราะอากาศหนาวมาก หนาวจนนอนไม่หลับ หันไปดูเพื่อนสาวอีก 2 คน นอนกอดกันกลม (ตอนไม่กอดก็กลมอยู่แล้ว) พลางนึกในใจ ถ้าเมื่อคืนฉันดื่ม ก็คงจะช่วยได้บ้าง ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสาวเกาหลี ดื่มกันเก่งจัง เพราะอากาศบ้านเขาหนาวนี่เอง....

นุสิหนาวจนทนไม่ไหว ปลุกเพื่อนลุกขึ้นมาออกกำลังกายซะงั้น แต่ก็ยังไม่หาย นึกขึ้นมาได้เรายังเหลือเทียนอยู่อีกหลายเล่ม (ที่นี่มีเทียนและโคมไฟให้เช่า อันละ 100 บาท) แถมมีที่ชาร์ตแบตให้เช่าด้วยนะคะ คิดราคา 20 บาท
นุสิเริ่มจุดเทียนและผิงไฟด้วยเทียนแท่งน้อยๆ กับเพื่อนอีก 1 คน ฟ้าไม่ทันจะสางดี เธอก็ชวนนุสิลุกไปรอเก็บภาพปางอุ๋งยามเช้า อากาศหนาวมาก จำใจลุกไปเพราะกลัวจะพลาดภาพดีๆ เพราะเสร็จงานนี้แล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาเยือนอีก





วันนี้ไม่ได้เห็นปางอุ๋งแบบที่โฆษณาไว้ ไม่เป็นไร แต่นุสิยืนอยู่ตรงนี้ นุสิรู้ดี มันสวยงาม และสวยงามในอีกมุมมองนึง...








มีโฮมสเตย์เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ลักษณะคล้ายบ้านบนหลังคา เรียงรายหลายห้องเลย มีร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ กาแฟแก้วละ 35 บาท ข้าวต้มชามละ 40 บาท จิบกาแฟคนละแก้ว บางคนทานข้าวต้มมื้อนี้รวมทุกคนแล้วหมดไป 400 บาทค่ะ


ที่นี่ร้านอาหารมีร้านเดียวของอุทยานนะคะ ราคาเทียบเท่ากับร้านข้าวต้มโต้รุ่งในกรุงเทพฯดี นี่เอง และจะมีร้านขายไส้หมู หูหมูย่าง ราคาไม่แพง แต่เรื่องอาหารอยากแนะนำให้เตรียมไปจะดีกว่า
หลังจากเก็บภาพ และสูดบรรยากาศในช่วงเช้าพวกเราก็เริ่มออกเดินทางสู่ปายค่ะ ระหว่างทางเห็นไร่สตอเบอร์รี่กว้างมากเลยแวะทักทายคุณลุงเจ้าของไร่และเก็บภาพมาฝากกันค่ะ
หน้าไร่สตอเบอร์รี่ มีสตอเบอร์รี่วางขายอยู่ไม่มากนัก อย่างที่บอกว่าปีนี้หนาวช้า ราคาครึ่งกิโลกรัม 150 บาท ยังแพงอยู่ นุสิแอบเด็ดสตอเบอร์รี่ในสวนมากิน คิดว่าดินที่นี่เขาคงดีมากเลยค่ะ เพราะนุสิหยิบลูกที่ไม่ค่อยแดงเท่าไหร่มาชิม รสชาติหวานสุดๆ แต่เราก็ไม่ได้อุดหนุนเขา เพราะ จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรา คือ ไร่สตอเบอร์รี่ของพี่ติ๊ก เจ้าของไร่ที่เรากำลังจะเดินทางไปเยี่ยมนั่นเอง




เขาไม่ได้ปลูกสตอเบอร์รี่อย่างเดียวนะคะ ชาวบ้านที่นี่ปลูกหัวไช้เท้าและแครอทด้วยค่ะ ชาวไร่ที่นี่ให้ความรู้กับเราว่า หัวไช้เท้าเวลาโต จะโผล่มาครึ่งหนึ่งของดิน แต่แครอทเวลาเติบโตเขาจะอยู่ในดิน

ข้างๆ ไร่สตอเบอร์รี่ เห็นชาวบ้านกำลังช่วยกันตีข้าวค่ะ นุสิไม่เคยเห็น ดูน่าสนใจดีเลยเข้าไปดูพร้อมเพื่อนๆ เกิดมาก็เพิ่งเห็นกับตานี่แหละ แต่ละคนพูดไทยไม่ชัดเลย

เมื่อพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ การดำเนินชีวิตของคนพื้นที่นี่แล้ว เราก็เดินทางกันไปต่อที่หมู่บ้านรักไทย จีน-ยูนนาน

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีภูเขาล้อมรอบ ถ้าเรามาถึงนี่ประมาณ 7 โมงเช้า อาจได้เก็บยอดชาร่วมกับชาวบ้านก็ได้ น่าเสียดาย....
โชว์เฟอร์ตีนผี (พี่ชาติ) แนะนำให้เราเข้าไปทานอาหารมื้อเช้าในร้านนี้ค่ะ เพื่อนๆ คุ้นตากันมั้ยคะ หมู่บ้านรักไทย จีน - ยูนนาน
มาดูประวัติเรื่องราวกันซักนิดก่อนจะเข้าบ้านนะคะ
หมู่บ้านรักไทย จีน - ยูนนาน อยู่ที่ ต.หมอกจำแป๋ อ.เมือง จ. แม่ฮ่องสอน ที่นี่พื้นที่เหมาะแก่การปลูกชาเนื่องจากมีพื้นที่สูงจากน้ำทะเลถึง 1,776 เมตร เหมาะแก่การปลูกพืชเมืองหนาวและชาพันธุ์ดี อาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ก็คือ ขาหมู หมั่นโถว
ที่นี่จะสร้างบ้านจากดินผสมฟางค่ะ แข็งแรงพอสมควร มีรอยแตกของดินให้เห็น ดูแล้วงดงาม ชาวบ้านพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่แม่ค้าน่ารักค่ะ ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี มีการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์เพราะท้องถิ่น เน้นสีแดงเป็นหลัก แบบฉบับชาวจีน


อะไรก็ไม่ชอบเท่าตอนได้ทานอะไรอร่อยๆ ค่ะโดยเฉพาะอาหารที่แตกต่างจากที่เคยรับประทาน วันนี้มาถึงนี่แล้ว อาหารที่เราต้องสั่ง และต้องสั่งให้ได้คือ ขาหมูหมั่นโถวค่ะ ต่อด้วย ยำยอดใบชาปลาทูน่า ไก่ดำตุ๋นยาจีน และผัดยอดถั่วลันเตาเห็ดหอม ตามด้วยข้าวเปล่า 1 หม้อ
ที่นี่มีน้ำชาบริการฟรีค่ะ เราดื่มแทนน้ำเปล่าเลย ชาร้อนๆ ได้แก่ ชาเขียว ชามะลิ ชาอู่หลง นุสิชิมแล้ว อร่อยทุกชา บิลออกมา ราคา 660 บาทค่ะ อาหารที่นี่ 100+







เมื่ออิ่มจากการทานอาหารแบบฉบับชาวจีน - ยูนนานแล้ว ก็เดินช้อปปิ้งบริเวณโดยรอบ มีชาหลายพันธุ์ และผลไม้เช่น บ๊วยจีน ลูกท้อ และยังมี เสื้อ รองเท้าจีน ให้เราเลือกซื้อหา หรือเป็นของฝาก สำหรับทริปนี้ นุสิอุดหนุนชาและกาแฟ และของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนจะถึงที่นี่แล้ว เสียดาย เจอกันช้าไป ไม่ได้อุดหนุนชาวบ้านที่นี่เลย
ออกจากหมู่บ้านจีน - ยูนนาน มุ่งหน้าสู่หมุ่บ้านสันติชล ที่นี่มีวิวสวยๆให้ถ่ายภาพมากมาย และที่โดดเด่นคือ มีการ.โล้ชิงช้าด้วยค่ะ ซึ่งนุสิฝันมานานแล้ว ทุกทีเห็นแต่ในทีวี
หมู่บ้านสันติชล อยู่ห่างจากตัวอำเภอปาย 4.5 กิโล กิจกรรม ที่น่าสนใจนอกจากการเดินเยี่ยมชมบรรยกาศ ยังมีการโล่ชิงช้าแบบชาวเขา ลักษณะเหมือนชิงช้าสวรค์ ให้นักท่องเที่ยวได้ สนุกสนานกัน ค่าบริการคนละ 25 บาท นั่งได้ 4 ท่าน และอีก 1กิจกรรม คือ การขี่ม้า รอบ ก้อนหินใหญ่ คิดราคา 3 รอบ 50 บาท ขี่ม้าเข้าหมู่บ้าน สันติชล 1 ชั่วโมง 300 บาท และบริการใส่ ชุดชาวจีน ถ่ายรูปตามจุดต่างๆ
นุสิใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงค่ะ ในที่สุดเราก็ได้โล้ชิงช้าสมใจ เคยคิดว่าคงจะอยู่ในหุปเขาซักที่นึง ที่ไหนได้ อยู่ริมถนนนี่เอง เดินทางไปมาสะดวก มาเมื่อไหร่ก็ได้
เห็นกระโปรงสีน้ำตาลบนนั้นมั้ยคะ นุสิเองค่ะ ฮี่ ฮี่ เขาคิดว่าโล้รอบละ 25 บาท มีอาม่าคนนึงต่อราคา 20 บาท กว่าจะได้โล้ เหงือกเกือบแห้ง นุสิต้องห้อยต่องแต่งอยู่นานเชียวค่ะ








หลังจากสนุกกับการโล้ชิงช้าอยู่พักใหญ่ เราเริ่มออกเดินทางกันต่อเลยค่ะ ก่อนที่จะถึงยอดดอยแม่ยะค่ำซะก่อน เพราะที่นั่นมีกิจกรรมดีๆ รอเราอยู่
ขณะนี้เราเข้าสู่ตัวอำเภอปายนะคะ เรามาดูจุดที่นักท่องเที่ยวเเวะเวียนกันมาถ่ายรูป ที่แท้อยู่ริมถนนอีกแล้ว....คุ้นกันมั้ยคะ



แวะน้ำตกผาเสื่อ ระยะทางกว่าจะมาถึงทุลักทุเลเพราะเราต้องผ่านโค้งถึง 1,864 โค้ง ลงจากรถแทบเดินไม่เป็น เวียนหัวจริงๆ

มาถึงทริปสุดท้ายแล้วค่ะ การเดินทางระยะเวลายาวนาน เพื่อมาเที่ยวไร่สตอเบอร์รี่ ของพี่ติ๊กเจ้าของไร่ อยู่บนดอยแม่ยะ ค่อนข้างส่วนตัวนะคะ บุคคลภายนอก ไม่ค่อยมีใครขึ้นไป รถขับสวนกันไม่ได้เลย ทางขึ้นลำบากมาก ลุยสุดๆ
เราแวะซื้ออาหารที่ปรุงบนดอย ไว้ทานมื้อค่ำ และมื้อเช้าของอีกวันหนึ่ง เป็นตลาดสดเล็กๆ ค่ะ จ่ายกับข้าวหมดไป ราวๆ 400 บาท นุสินึกในใจว่า คืนนี้ฉันจะต้องดื่มๆๆๆๆ ฉันจะไม่หนาวอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า
จุดที่เราจะขึ้นไปพักเป็นหมู่บ้านบนดอยค่ะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีขนาดประมาณ 50 หลังคาเรือน) ระยะทางจากตัวเมืองประมาณ 28 กม. (รวมเส้นทางถนนลูกรังไต่ไหล่เขาประมาณ 10 กม.) ยานพาหนะเป็นรถกระบะ Toyota Vigo มีแคปแต่ไม่มีหลังคา ข้างหน้านั่งได้ 4 คน ที่เหลือต้องนั่งด้านหลังกระบะ คนขับชำนาญทางไม่ต้องกังวลเลย แต่กว่าจะถึงจุดหมายท้องไส้ปั่นป่วนเอาการ
เราเดินทางมาถึงยอดดอยเวลา 4 ทุ่มโดยประมาณ เดินทางมาถึงช้าไปนิด ทำให้ทุกอย่างไม่ได้เป็นตามแผนที่วางไว้ ชาวเขาที่เตรียมจะหุงข้าวดอยในกระบอกไม้ไผ่ให้เราได้กิน และเต้นระบำตามแบบประเพณีของชาวเขาเผ่าลีซอ ก็ไม่อยู่ซะแล้ว
สุดท้ายเราก็ได้ทานข้าวดอยจริงๆ แต่เป็นข้าวดอยที่พวกเราช่วยกันหุงเอง ข้าวดอยจะมีลักษณะแข็งนิดหน่อย เหมือนข้าวไม่สุก และจะไม่สวยหรือนิ่มเหมือนข้าวในเมือง ข้าวดอยปลอดสารพิษไม่เป็นมะเร็ง
น้ำที่ชาวเขานำมาใช้บริโภค เป็นน้ำที่เกิดจากธรรมชาติ จากตาน้ำบนเขา น้ำไหลแรงมาก ไม่ต้องเสียค่าน้ำเลย แต่ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ ในเวลาที่ต้องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีอย่างจำกัดในแต่ละวัน
พี่ติ๊กได้สอนวิธีดูตาน้ำว่า ถ้าจุดไหนที่มีต้นกล้วยขึ้นเยอะๆ ตรงนั้นละ มีตาน้ำ เพราะต้นกล้วยชอบน้ำ และต้องอยู่กับความชื้น วันนี้ได้ทั้งเที่ยว ทั้งความรู้ควบคู่กันเลยทีเดียวค่ะเราไปถึงยอดดอย หรือจุดที่ชาวเขาพักอยู่ประมาณ 4 ทุ่ม เปิดประตูรถออกมาโอ้โห หนาวยะเยือกถึงขั้วหัวใจ นี่พวกนั่งข้างหลังคงจะหนาวน่าดู คิดถูกนะเนี่ยเรา 55++
พวกเราทุกคนเริ่มช่วยกันลงมือทำกับข้าว ซึ่งมีพี่พนิดาซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ส่วนนุสิกับเพื่อนก็เป็นลูกมือค่ะ (ยังจำกันได้มั้ยคะแม่ครัวคนนี้ เมื่อครั้งทริปไร่กาแฟ ก็ได้เธอคนนี้แหละ ที่ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกิน ) เรียกว่า ทริปไหนมีเธอ ฉันไม่อดตายแน่นอน 55+ แถมฝีมือทำอาหารก็สุดยอดด้วยยยยย
บรรยากาศที่พวกเราทุกคนช่วยกันทำกับข้าวไม่ถึง 1 ชั่วโมง


แตงกวาดอย ถ้าลูกเล็กจะมีรสเปรี้ยว ลูกใหญ่ ก็จะเปรี้ยวน้อยหน่อย ยังไม่ได้ชิมค่ะ เลยไม่ทราบ^^

เมื่อทานอาหารเสร็จ ก็เริ่มหาที่พัก พวกเราตัดสินใจไปพักก่อนตรงจุดที่ เกือบถึงหมู่บ้านบนดอยประมาณ 0.5 กม.เป็นจุดกางเต็นท์ ตรงจุดนี้ไม่มีไฟฟ้า ตรงจุดกางเต็นท์เป็นที่สูง สัญญาณมือถือค่อนข้างดี
พี่ติ๊กได้เตรียมโคมไว้ให้เราปล่อย เป็นกิจกรรมเล็กๆ แต่ความรุ้สึกทางใจ มันยิ่งใหญ่มากค่ะ ขอบคุณพี่ติ๊กค่ะ....
พวกเราช่วยกันปล่อยโคมไฟ เกือบสิบลูกเห็นจะได้ มีไม่กี่ลูกที่ลอยแล้วไม่ติดต้นสน ตอนที่โคมไฟลอยไปติดต้นสน พวกเรา 7 คน ลุ้นด้วยใจระทึกว่าจะไหม้ต้นสนรึเปล่า สุดท้ายไฟก็ดับไป โชคดีมากเลย เกือบงานเข้าซะแล้ว

พวกเราก่อกองไฟดับความหนาว พูดคุยกัน ผลัดกันบอกเล่าเรื่องราว เพราะมีหลายคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกในทริปนี้ มองดูดาว และร้องเพลง
ระหว่างนั้น ตรงจุดนี้เรามองเห็นดวงดาวชัดเจนมาก นุสิกับเพื่อนเห็นดาวตก 2 ดวง แม๊ อธิฐานไม่ทัน โอ้โฮ โรแมนติกจริงๆ ค่ะ
นุสิจิบน้ำหมักข้าวโพดที่ชาวบ้านบนดอยเตรียมไว้ให้ กว่าจะทำใจกลืนได้ ยากพอควรเพราะเป็นคนไม่ดื่มเหล้า แต่คืนนี้เป็นงัยเป็นกัน ก็มันหนาวนี่ (หว่า) และมันก็ได้ผลค่ะ นุสิรู้สึกใบหน้าและคอ ตลอดถึงท้อง ร้อนทันที แต่ก็แค่ชั่วขณะ เพราะพอน้ำหมักหมด หนาวอีกแล้ว สุดท้าย สิ่งที่ช่วยนุสิให้คลายความหนาวได้ ก็คือ ถุงนอน (ของใครไม่รู้) แต่แอบใช้แล้ว ฮี่ ฮี่
.......เราตอนคุยกันจนถึง ตี 2 (คาดว่า)...แล้วต่างคนก็ต่างหลับไปข้างกองไฟ..............
เช้าของวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2555 เป็นวันที่เราต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตประจำวันกันแล้ว ความสุขมันอยู่กับเราไม่นานจริงๆ วันนี้ เวลานี้ ที่เหลืออยู่เราจะใช้ชีวิตให้มีความสุขมากที่สุด....



ตื่นเช้ามาถึงไว้เห็นวิวว่า รอบๆ ของเรา แวดล้อมไปด้วยไร่สตอเบอร์รี่ และหม่อน


กิจกรรมของเช้าวันนี้ ที่ชาวบ้านเตรียมไว้ให้เรา ก็คือ การเกี่ยวข้าว ค่ะ
เป็นครั้งแรกในชีวิตของนุสิเลย อยากทำมานานแล้ว น้องซี ลูกสาวเจ้าของนาข้าวบนดอยสอนวิธีเกี่ยวข้าวและมัดต้นข้าวให้เป็นกอๆ วางไว้เหนือพื้นดิน เพราะกันฝนตกข้าวจะได้ไม่เสีย



หลังจากปฎิบัติภาระกิจเสร็จ พ่อของน้องซี (ชาวเขาเผ่าลีซอ) ก็รินชาที่ต้มในกระบอกไม้ไผ่ให้ดื่ม รสชาติดี ชื่นใจ


การร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวบ้านครั้งนี้ คันมาก แถมโดนต้นข้าวบาดนิ้วด้วย น้องซีชาวเขาเด็ดต้นสาบเสือที่เป็นวัชพืชขึ้นอยุ่ตามข้างทางมาตำแล้วก็โปะลงบนบาดแผล เพื่อฆ่าเชื้อและห้ามเลือด น่าสนใจดีค่ะ
ถ่ายรูปเป้นที่ระลึกก่อนจากลา

แวะถ่ายรูประหว่างทางกลับหมู่บ้านค่ะ



เพื่อนปีนเก็บลูกมะขามป้อมข้างทาง เจอ 2 ต้นลูกดกมาก เธอบอกว่า จะเก็บไปทำน้ำหมัก






แล้วพวกเราก็กลับยังที่พัก จุดที่เราหุงหาอาหารเมื่อคืน ทำงานเสร็จแล้ว ทานข้าวเช้าได้ซะที
ก็ช่วยกันทำเหมือนเคย แต่พี่พนิดาเป็นหลัก บรรยากาศขันโตก


พวกเราเริ่มออกเดินทางกลับประมาณ บ่าย 3 ค่ะ สายกว่าที่คิดไว้ 3 ชั่วโมง

เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เวลา ตี 3.30 น. .........
ต้องขออภัยที่เก็บภาพธรรมชาติก่อนขึ้นดอยมาได้เท่านี้เนื่องจากความผิดพลาดทางเทคนิคบางประการค่ะ
และขอขอบคุณภาพสวยๆ จากพี่พนิดา พี่ปิเชาว์ พี่รุ่งริ่ง น้องดอส และน้องอ้อมค่ะ
*** ขอขอบคุณพี่ติ๊ก (เจ้าของไร่สตอเบอร์รี่) ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ สถานที่ และข้าวปลาอาหาร พวกเราทุกคนประทับใจมากค่ะ และความทรงจำและมิตรภาพตลอดการร่วมเดินทาง จะยังคงจดจำอยู่ในความทรงจำของพวกเราอย่างไม่มึวันลืม***