|
TheFootball
|
โดยที่ผมวางแผนการเดินทางไว้แล้ว ดังด้านบนนั่น ส่วนที่ได้ทำการจองไว้แล้วมีดังนี้
ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพ - กัวลาลัมเปอร์ กัวลาลัมเปอร์ - กรุงเทพ
ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กัวลาลัมเปอร์ - ลังกาวี ลังกาวี - กัวลาลัมเปอร์
ส่วนที่พักนั้นได้จองไว้แล้วที่กัวลาลัมเปอร์ ในคืนวันแรก ที่เดินทางจากกรุงเทพไปถึงกัวลาลัมเปอร์ และคืนวันที่สามหลังจากที่กลับมาจากลังกาวี
ทั้งตั๋วเดินทางและโรงแรมจ่ายเงินหมดแล้วเรียบร้อย
ส่วนคืนวันที่สองจะไปนอนที่ลังกาวี เดินหาเอา ไปจ่ายสดที่โน่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ลังกาวี เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวมาเลย์ ก็เพราะตำนานที่เล่าขานกันมา ถึงเจ้าหญิงชายารัชทายาท ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้วนามว่ามัสซูรี ตามตำนานเล่าว่า พระนางมัสซูรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต ที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อมทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคนให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต พระนางมัสซูรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง ส่วนพระนางมัตซูรีมีบุตรเป็นชาย ตามกฎของสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสซูรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมา ดังนั้นเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางมัสซูรีมีชู้ ทำให้องค์สุลต่าน ตัดสินประหารชีวิตพระนางด้วยกริช โดยที่พระอนุชา สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน ก่อนเสียชีวิตพระนางอธิษฐานว่า หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน แต่คมกริชประหารกลับไม่ระคายผิวนางเลย พระนางมัสซูรี จึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา ขณะที่คมกริชจดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่ม โดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย องค์สุลต่านเองก็ช่วยชีวิตพระนางไม่ได้ เพราะพระนางเสียเลือดมากแล้ว ด้านพี่ชายของพระนางมัสซูรีเกรงว่า หลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของมัสซูรีจะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ตและเริ่มตั้งรกรากที่นี่ โอรสของพระนางมัสซูรีเติบโตขึ้นมีนามว่า โต๊ะวัน นับเป็นทายาทรุ่นที่ 1 และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเกาะลังกาวีก็เงียบเหงา ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุขในมนต์ตราแห่งการสาปแช่ง มาจนถึง 7 ชั่วคน จนกระทั่งมาถึง น.ส.สิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสซูรี เวลา 200 กว่าปี หรือ 7 ชั่วคนนั้นได้ผ่านไปแล้ว นับจากนี้ไปจะเป็นยุครุ่งโรจน์โชติชัชวาลของลังกาวีอีกครั้งหนึ่ง..... http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=7501.0
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
แกะรอยมนต์ขลัง...เกาะลังกาวี เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คมชัดลึก , lovelycheerful.th.gs "ยินดีจะเสียชีวิต แต่ถ้าบริสุทธิ์ขอให้เลือดตัวเองเป็นสีขาว และขอให้เกาะลังกาวีไม่มีความเจริญ ไม่ให้พบกับสันติสุขไปจนถึง 7 ชั่วโคตร" นี่คืออาถรรพ์คำสาปที่ "พระนางเลือดขาว" หรือ "พระนางมัสสุหรี" ได้เอ่ยปากสาปแช่ง "เกาะลังกาวี" ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์... ใครจะสามารถถอนคำสาปนี้ได้... ใครจะทำให้เกาะลังกาวีเจริญและพ้นจากคำสาปนี้ได้ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปค้นหาคำตอบของเรื่องราวต่างๆ พร้อมๆ กับเจาะลึกชีวิตของทายาทรุ่นที่ 7 ของ "พระนางเลือดขาว" กันค่ะ แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับ "เกาะลังกาวี" กันซะหน่อย... "เกาะลังกาวี" (Langkawi) ตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ใกล้ฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย อยู่ในรัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย ตรงข้ามกับเกาะตะรุเตา ใกล้กับชายแดนไทย อยู่ห่างจากเมืองกัวลาเปอร์ลิส ประมาณ 30 กิโลเมตร และเมืองกัวลาเคดะห์ 51 กิโลเมตร แต่เดิมเกาะลังกาวีเคยเป็นดินแดนของเมืองไทรบุรีที่ตั้งโดยชาวไทยที่เป็นสยามอิสลาม อยู่กับอาณาจักรสยามมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 5 และได้เสียดินแดนส่วนนี้ให้กับประเทศอังกฤษในที่สุด สำหรับเรื่องราวของ พระนางเลือดขาว หรือพระนางมัสสุหรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ตที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อม ทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม ทั้งๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคนให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต พระนางมัสสุหรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรี มีบุตรเป็นหญิง ส่วนพระนางมัสสุหรี มีบุตรเป็นชายชื่อ "วันฮาเกม" ตามกฎของสำนักพระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึกๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสสุหรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมาโจมตี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้ายคิดร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่า พระนางมัสสุหรีแอบคบชู้ ทำให้องค์สุลต่านตัดสินประหารชีวิตพระนางมัสสุหรีด้วยกริช โดยที่สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน ซึ่งก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ พระนางมัสสุหรีได้อธิษฐานว่า "หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน" แต่เมื่อเพชฌฆาตลงคมกริชประหาร คมกริซนั้นกลับไม่ระคายผิวนางเลย เมื่อเป็นเช่นนี้พระนางมัสสุหรีจึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา และเมื่อคมกริชจรดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่มโดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย องค์สุลต่านเองก็ช่วยชีวิตพระนางไม่ได้ เพราะพระนางมัสสุหรีเสียเลือดมากแล้ว ด้านพี่ชายของพระนางมัสสุหรีเกรงว่าหลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของพระนางมัสสุหรีจะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ต และเริ่มตั้งรกรากที่นี่ โดยโอรสของพระนางมัสสุหรีเติบโตขึ้นมีนามว่า "โต๊ะวัน" นับเป็นทายาทรุ่นที่ 1 สำหรับสุสานของนางมาซูรีนั้น มีสุสานที่สร้างด้วยหินอ่อน และคำจารึกภาษามาเลเซียและภาษาอังกฤษ ซึ่งจัดสร้างทำขึ้นภายหลัง มีข้อความว่า . . . MAHSURI BINTI PANDAK MAYAH MAHSURI A VICTIM OF TREACHERY AND JEALOUSY WAS SENTENCED TO DEATH IN 1235 HIJRAH OR 1819 A.D. AS SHE DIED SHE LAID A CURSE ON THE ISLAND "THERE SHALL BE NO PEACE AND PROSPERITY ON THIS ISLAND FOR A PEROID OF SEVEN GENERATIONS'' แปลความได้ว่า . . . มัสสุหรีผู้รับเคราะห์กรรมจากการทรยศหักหลัง และความอิจฉาริษยาจนถูกตัดสินให้นางถึงแก่ความตายลง เมื่อศักราช (อิสลาม) 1235 หรือ คริสต์ศักราช 1819 (พ.ศ. 2362) นางสิ้นชีวิตลงพร้อมกับคำสาปแช่งที่แห่งนี้ว่า ''จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ เป็นเวลา 7 ชั่วอายุคน'' และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "เกาะลังกาวี" ก็เงียบเหงา ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุข เพราะมนตราแห่งการสาปแช่งของพระนางมัสสุหรี มาตั้งแต่ พ.ศ.2362 เป็นเวลา 181 ปี ตกอยู่ในอำนาจของคำสาปที่มืดดำเฉกเช่นชายหาดที่มีสีดำ นัยว่าเกาะแห่งนี้ถูกอำนาจแห่งความบริสุทธิ์นั้นสาปแช่งให้จมอยู่กับความตกต่ำ เป็นอาถรรพ์ครอบคลุมมาถึง 7 ชั่วอายุคน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เกาะลังกาวีกำลังจะผ่านพ้นช่วงแห่งความมืดมิด เพราะได้ผ่านพ้นมาแล้ว 6 ชั่วอายุคน และก้าวเข้าสู่คนรุ่นที่ 7 ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นผู้มาแก้คำสาป เพื่อทำให้เกาะลังกาวีหลุดพ้นจากอำนาจลึกลับ ทั้งนี้หนังสือพิมพ์หลายๆ สำนักของมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซีย ต่างพากันออกตามหาผู้สืบทอดเชื้อสายของพระนางมัสสุหรี จนมาพบว่าทายาทรุ่นที่ 7 ได้อาศัยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย ซึ่งก็คือ นางสาวศิรินทรา ยายี มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเป็นทายาทผู้ถอนคำสาป ไม่ว่าจะเป็นกริซประจำตระกูล รูปภาพ และบรรพบุรุษชื่อ "วันฮาเกม" ทางรัฐบาลจึงเชิญพระนางทายาทรุ่นที่ 7 กลับสู่เกาะลังกาวี เพื่อถอนคำสาป จากเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเธอได้ไปยืนอยู่บนแผ่นดินเกาะลังกาวี เธอกลับกลายเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ไปในทันที "ศิรินทรา ยายี" หรือ "เมย์" เกิดเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 (สิงหาคม) พ.ศ. 2528 ที่โรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต (น่าแปลกที่วันนั้นไม่มีเด็กคนไหนถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับเธอเลย แถมท้องฟ้าที่ใสกระจ่างกลับมืดดำ และฝนก็เทกระหน่ำลงมานานถึง 1 เดือน) ศิรินทรา ยายี เป็นบุตรสาวของนายสุวรรณ ยายี และนางสุนี ยายี มีน้องชาย 1 คน ปัจจุบัน ศิรินทรา ยายี กำลังศึกษาในระดับชั้นปีที่ 2 ของคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตส หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ทุนของเอกชนในประเทศมาเลเซีย ให้ศึกษาในมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย อยู่ 2 ปี แต่มีปัญหาเรื่องทุนจึงต้องกลับมาเรียนต่อในไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางประเทศมาเลเซียจะเสนอให้ครอบครัวเธอย้ายไปอยู่ที่นั่น โดยจะมอบบ้าน รถ ที่ดิน และสิทธิในการเป็นเจ้าของเกาะให้ด้วย แต่ศิรินทรา ยายี เลือกที่จะอยู่ต่อที่ประเทศไทย เพราะเธอรักประเทศไทย "หนูรู้สึกภูมิใจในการที่ได้เกิดเป็นทายาทรุ่นที่ 7 เพราะคุณทวดหนูเป็นคนดี และหนูคงเอาความดีของคุณทวดมาเป็นแบบอย่าง" ศิรินทรา กล่าว อย่างไรก็ตาม หลังการไปเยือนเกาะลังการวีของ ศิรินทรา ยายี เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ทำให้เกาะต้องมนต์แห่งนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เพราะรัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นคืนชีพเกาะลังกาวี ในความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ http://hilight.kapook.com/view/34028http://www.google.com/search?q=%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5&sourceid=ie7&rls=com.microsoft:en-US&ie=utf8&oe=utf8
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ใช่แล้วครับ ผมกำลังจะบอกว่า ไฮไลท์ของการเดินทางครั้งนี้นั่นก็คือ ลังกาวีนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
บ่ายสองโมงเก็บของเสร็จออกเดินทางไปสนามบิน ตายละหวา เครื่องออก 15.10 เคาน์เตอร์เช็คอินปิด ก่อนเครื่องออก 45 นาที นั่นหมายถึงว่า เคาน์เตอร์จะปิด 14.25 น. ตอนนี้ บ่ายสองโมงแล้ว มีเวลาอีก แค่ 25 นาทีเท่านั้นที่จะไปให้ทัน มีทางเลือกดังนี้ 1. แอร์พอร์ตลิงค์ หากไปขึ้นที่สถานีลาดกระบังหากพลาดเที่ยวที่วิ่งผ่านไปต้องรออีก 15 นาที กว่าจะงิ่งไปถึง กว่าจะวิ่งไปเช็คอิน งั้นตัดทิ้งไปได้เลย 2. แท๊กซี่ ต้องเดินออกไปถนนด้านนอก 5 นาที รอรถอีก 5 นาที หมดไปแล้ว 10 นาที กว่าจะรอ แล้วแท๊กซี่ต้องวิ่งอ้อมไปทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์อีก 15-20 นาที รวมๆ แล้ว 30 นาที แล้วถ้าเกิดรอรถไม่มาสักที หรือรถวิ่งเข้าผิดช่องอีก เสียเวลาทิ้งไปอีก ไม่ทันแน่นอน อันนี้ก็ตัดทิ้งไปอีก 3. มอเตอร์ไซต์รับจ้างอันนี้เร็วสุด แต่ต้องเดินออกไปถนนด้านนอก 5 นาทีกว่าจะเข้าไปสนามบินอีก 20 นาที เพราะรถต้องซ้อนเราถ้าวิ่งเร็วจะอันตรายมากถึงมากที่สุด อันนี้ก็ตัดทิ้งไปอีก แล้วจะทำยังไงดีล่ะนี่ มอเตอร์ไซต์เพื่อนยากของเราไง ไม่ต้องเดินแบกกระเป๋าออกไปรอด้านนอก บิดกุญแจแล้วบึ่งไปได้เลย ทำความเร็วได้มากกว่าไปนั่งซ้อนวินมอเตอร์ไซต์ เพราะเดินทางคนเดียวไม่มีคนซ้อน อันนี้และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลาขณะนั้น ไปโลดดดดดดดดดดดดดดดดดด เอากระเป๋าเป้ใบใหญ่วางไว้ที่นั่งตรงหว่างขาด้านหน้า ส่วน กระเป๋ากล้องสะพายหลัง วิ่งทางลัดไปทางวัดสี่ ขึ้นสะพานข้ามคลอง(เป็นเส้นทางลัดที่สุด รถยนต์วิ่งไม่ได้ เป็นทางเฉพาะคนเดินเท้า จักรยานและมอเตอร์ไซต์) ออกไปทะลุปากทางเข้าสนามบิน ด่วนจี๋เลยลูกพี่ 555 บอกตัวเองต่างหาก ไปถึงสนามบิน 14.17 ใช้เวลา 15 นาทีเท่านั้น เอารถไปจอดที่สนามบิน บอกน้องที่เขียนตั๋วฝากรถ บอกทะเบียนรถเสร็จสรรพ และบอก เร็วๆ เลยน้องเดี๋ยวตกเครื่อง จอดรถปุ๊บ ขึ้นลิฟท์ไปช้น 5 (ลิฟท์ลานจอดรถ) ซึ่งจะตรงกับชั้น 3 อาคารผู้โดยสาร วิ่งตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์เช็คอิน 14.22 น. ครับคุณพี่ท่านไปถึงก่อนเคาน์เตอร์ปิด 3 นาที มีคนยืนเช็คอินอยู่ด้านหน้า 1 คน 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
คนที่เช็คอินด้านหน้านี่ก็นานสุดๆ น้องผู้ชายเดินมาแล้วถามว่า พี่ไปกัวลาลัมเปอร์หรือเปล่าครับ ใช่ครับน้อง ผมตอบ ไปพร้อมยื่นพาสปอร์ตไป แล้วสำทับว่า ช่วยเช็คอินให้ที ได้ครับพี่ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
โดยหารู้ไม่ว่า กำลังจะไปภจญภัยที่ทรหดครั้งหนึ่งในมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ไปผ่านด่าน ตม. วันนี้แถวไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ ผ่านด่าน ตม.เสร็จ ก็ไปสแกนกระเป๋า เจอคนที่เดินด้านหน้าโคตะระช้ามากเลย แถมไม่ให้เดินแซงอีก เซ็งจิตสุดๆเพราะต้องเดินตามทางที่กั้นไว้ ทิ้งชั่วงจากคนก่อนหน้าเป็น 10 เมตร สแกนกระเป๋าแล้วต้องผ่านเครื่องสแกนร่างกายอีก ด้วยความรีบลืมดูว่า เครื่องสแกนร่างกาย ไว้รองรับผู้โดยสารฝั่งซ้ายและขวาของเครื่องสแกนกระเป๋า เมื่อเห็นคนก่อนหน้าสแกนร่างกายเสร็จ ผมเอง จะรีบเข้า เลยเดินไปรอที่ประตูเครื่องสแกน เจ้าหน้าที่บอกว่า รอก่อนค่ะ รอทางซ้ายก่อน หันไปมีฝรั่งยืนอยู่ อ้าวเลยรู้ว่า เครื่องสแกนนี้จะสลับกันระหว่างคนฝั่งซ้ายและฝั่งขวา จริงๆ ก็มาบ่อยนะ แต่วันนั้นรีบและก็ลืมไปจริงๆ เลยบอกว่าขอโทษครับ ลืมจริงๆ และหันหน้าไปหาฝรั่งแล้วบอกว่า i'm sorry เธอก็หันมายิ้มให้พร้อมทำหน้าทำนองว่า ไม่เป็นไรนั่นแหละ พอฝรั่งเดินผ่านเข้าไปผมกำลังจะเดินเข้า มีอาแปะคนหนึ่งจากฝั่งโน้นล เดินมาลัดคิวผมหน้าตาเฉยรอสแกนเป็นคนต่อไป เจ้าหน้าที่เลยเดินไปบอก ประมาณว่าเรียกแกนั่นแหละ แต่อาแปะยังเฉยทำหน้าตาเหมือนไม่รับรู้อะไรใดๆ ทั้งสิ้น หน้าตานิ่งมากๆ ผมเลยบอกว่า คิวพลีส เงียบอาแปะทำเป็นนิ่งสนิท คิวพลีส ผมบอกอีก เงียบเป็นเป่าสาก เฮ้ย ซักโมโห คิวพลีสสสสสสสส อาแปะตอบเสียงดังว่า ไอโนว์ ไอโนว์ ยูโกอะเฮด (อั๊วรู้น่าว่าลื้อต้องไปก่อง ทำนองนั้น) ผมถึงกับงง แสดงว่าแปะพูดอังกฤษได้ดี รับรู้ทั้งหมด ก็ในเมื่อรับรู้พอเขาไปบอกตอนแรกทำไมไม่ถอย หรือไม่พูดสักคำ แล้วก็รู้ทั้งรู้ทำไมต้องไปยืนดักรอที่ประตูขวางทางคนอื่นทำแป๊ะอะไร ผมเดินผ่านช่องเข้าไป แล้วหันมามองแปะด้วยความงวยงง พร้อมโมโหนิดๆ เข้าไปด้านในได้ รีบใส่เกียร์สุนัขทันที 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
anuchon_SR45
ชีวิตนี้มีชลบุรีทีมเดียว
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +237/-7
ออฟไลน์
กระทู้: 2,387
สู้ๆ
|
ลุงมีอะไรมาฝากบ้างละ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าองค์พระมหาธีรราชเจ้ายังทรงอยู่ คงเรียกวีวีและพวกมาตบเรียงตัวแล้ว โทษฐานทำสมาคมฟุตบอลของท่านตกต่ำถึงเพียงนี้
|
|
|
|
sakeshima
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +234/-79
ออฟไลน์
กระทู้: 3,167
|
มารอชมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ห้ามใช้ลายเซ็นต์ในการโฆษณา
|
|
|
anuchon_SR45
ชีวิตนี้มีชลบุรีทีมเดียว
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +237/-7
ออฟไลน์
กระทู้: 2,387
สู้ๆ
|
ไม่เห็นมีอะไรเลยอีตาลุง  เออ +1ให้ในที่มีชีวิตรอดกลับมา 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าองค์พระมหาธีรราชเจ้ายังทรงอยู่ คงเรียกวีวีและพวกมาตบเรียงตัวแล้ว โทษฐานทำสมาคมฟุตบอลของท่านตกต่ำถึงเพียงนี้
|
|
|
""--กระทิงโทน--""
เสรีแห่งไพร.....เพรียกเสียงลำนำ
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +1240/-178
ออฟไลน์
กระทู้: 7,111
..........ผู้หากินแต่เพียงลำพัง..........
|
ต่อๆๆๆๆๆๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙
|
|
|
|
|
TheFootball
|
นั่งลงเก็บของที่ทำการสแกนแยกลงกระเป๋าให้เรียบร้อย ตดป้าดไปหนึ่งที เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
วันนี้เครื่องเทียบงวง สบายดีไม่มีปัญหา เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินที่บินมาจากมาเลเซีย แล้วตีกลับไปที่โน่น ดังนั้นกัปตันและลูกเรือเป็นมาเลเซียครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
มองหน้าต่างข้างบ้านนนนนนนนนนนนนน เนื้อเพลง : ใจจะขาด ศิลปิน : ศรเพชร ศรสุพรรณ อัลบั้ม : ศรเพชร ศรสุพรรณ ท็อปฮิตตลับทอง ชุด 3 มองหน้าต่าง ข้างบ้าน เมื่อวาน เขามีงานแต่งกัน คนรวยแบ็งค์ โอ้ย.มาแย่ง แฟนฉัน หัวใจ มันสั่น เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้วเอย นอนไม่หลับ จับใจ เต้นไว เหมือนมีใครเฆี่ยนตี มองอีกครั้ง เห็นเขานั่ง จู๋จี๋ โอ้ย.ใครกันนี่ ช้ำอย่างนี้มีบ้างไหม ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้วเอย มองเขาดับไฟนอน กอดหมอนนึกแล้วนอนหลับตา ตรงนั้นนวล ตรงนี้นิ่ม ตรงนั้นขาว โอ้ย ใจจะบ้า แล้วต่อมา จะมีอะไร ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้วเอย Solo 6 bars...5... 6... มองเขาดับไฟนอน กอดหมอนนึกแล้วนอนหลับตา ตรงนั้นนวล ตรงนี้นิ่ม ตรงนั้นขาว โอ้ย ใจจะบ้า แล้วต่อมา จะมีอะไร ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้วเอย 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ไก่ย่างไม้มะดันก็อร่อย
Satukan kawan
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +1487/-477
ออฟไลน์
กระทู้: 11,245
|
เหมือนจะรีบ แต่ก็เหมือนจะไม่รีบ อิ อิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
TheFootball
|
วิ่งข้ามอ่าวไทย มุ่งด้านทิศใต้สู๋กัวลาลัมเปอร์ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
เจ้าหน้าที่แจกใบ ตม.ของมาเลเซียมาให้กรอก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
TheFootball
|
เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินปลอดบุหรี่ค่ะ จริงๆ แล้วก็ปลอดบุหรี่ทุกเที่ยวบินนั่นแหละ หิวกาแฟเลยสั่งมาซะหน่อย ราคา 5 ริงกิตครับ ขายตามสัญชาติของเที่ยวบิน อย่างที่บอกเที่ยวบินนี้เป็นไฟล์ทที่มาจากกัวลาลัมเปอร์ แล้วบินกลับที่โน่น ต้นทางคือที่มาเลเซียครับ กัปตันและลูกเรือทั้งหมดเป็นชาวเมเลเซียครับ เลยถามเจ้าหน้าที่ว่า จ่ายเป็นเงินบาทได้ไหม เจ้าหน้าที่บอกว่า ได้ค่ะ อัตราแลกเปลี่ยนคิดง่ายๆ ที่ 1 ริงกิต เท่ากับ 10 บาท กาแฟแก้วนี้ราคา 5 ริงกิต หรือคิดเป็นเงินไทย 50 บาท ผมเลยจัดแจงเอาแบงค์ 500 ให้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ทอนมาเป็นริงกิต 45 ริงกิต หรือ 450 บาทนั่นแหละ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
ต้องกรอกรายละเอียดด้วยนะครับ แล้วก็ต้องส่งคืน ให้เจ้าหน้าที่ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ดูเหมือนว่าเครื่องจะเข้าเขตประเทศมาเลเซียแล้ว เพราะมองลงไปเห็นพื้นดิน และเครื่องน่าจะเข้าแผ่นดินมาเลเซียเมื่อผ่านอ่าวไทย เข้าแผ่นดินมาเลเซียทางฝั่งตะวันออก มุ่งไปทางทิศตะวันตก เพราะกัวลาลัมเปอร์อยู่ทะเลฝั่งทิศตะวันตก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
คอบอล_SR09
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +1151/-29
ออฟไลน์
กระทู้: 7,907
ชีวิตนี้แสนสั้น รักกันไว้ดีกว่า
|
+1 ขอบคุณครับน้า ภาพและเรื่องยอดเยี่ยมมาก

น้าบรรยายได้สมจริงมากครับ ขนาดนั่งอ่านยังเหมือนกับได้ไปเอง แล้วพบกันๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฝากรูป นกและไก่ดูดีที่สีขน เกิดเป็นคนงดงามที่น้ำใจ
|
|
|
|
TheFootball
|
ไม่เห็นมีอะไรเลยอีตาลุง  เออ +1ให้ในที่มีชีวิตรอดกลับมา  เออดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
ไม่เห็นมีอะไรเลยอีตาลุง  เออ +1ให้ในที่มีชีวิตรอดกลับมา  555+  อืม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
เหมือนจะรีบ แต่ก็เหมือนจะไม่รีบ อิ อิ
อืม รีบสิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เจนโอ๊ะ
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +2014/-1602
ออฟไลน์
กระทู้: 9,040
ทำดีที่สุดแล้ว
|
+1 คะ อิจฉาจัง อยากไปเที่ยวบ้าง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
+1 คะ อิจฉาจัง อยากไปเที่ยวบ้าง  อืม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
น่าจะเป็นท่าเรือที่ Port Dickson 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ตะวันรอนที่หนองหาน เพลงตะวันรอนที่หนองหาร ขับร้อง - ศรคีรี ศรีประจวบ โอ้ละเหนอ โอ้โอละโอ้ละเหนอ ผู้สาวภูไท ใช่มีแต่ที่เรณู ได้ฮักและที่ได้ฮู้ คือสาวภูไทสกลนคร ครั้งไปเที่ยวงาน พระธาตุเชิงชุมได้พบบังอร เหมือนเคยร่วมบุญปางก่อน อยู่สุดขอบฟ้าก็มาพบกัน แดดอัศดง ค่ำลงที่ฝั่งหนองหาร เฮาสองเคยเที่ยวด้วยกัน มนต์ฮักสายันต์สวาทวาบหวาม สายลมเฉื่อยฉิว ทิวสนลิ่วโอนสอดเสียงกังวาล เหมือนเสียงใจเฮาสาบาน ให้หนองหารได้เป็นสักขี โอ้ละเหนอ หัวใจดังเหมือนต้องมนต์ ท้าวฝาแดงและนางไอ่ดล ให้เจอน้อง ณ. แดนแห่งนี้ พรเจ้าช่วยคุ้ม ฮักยังยืนอย่าได้หน่ายหนี เหมือนนิยายมี อยู่คู่หนองหารคนขานกล่าวชม แดดอ่อนคราใด หัวใจพี่สั่นสะท้าน คิดถึงเคยฮักผูกพัน คิดถึงหนองหารที่เคยรื่นรมณ์ ความหลังฝั่งหนอง พี่เคยประคองนวลน้องแนบชม หัวใจยังครางระงม โอ้แม่สาวสกลฯที่รัก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
อ้าว ผิดแล้วครับ ตะวันรอนที่ป่าปาล์มกัวลาลัมเปอร์ต่างหาก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
ลงแล้วครับ ตามเวลาของสายการบิน จะใฃ้เวลาในการบิน ราวๆ 2 ชั่วโมง กับอีก 10 นาที น่ะครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
anuchon_SR45
ชีวิตนี้มีชลบุรีทีมเดียว
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +237/-7
ออฟไลน์
กระทู้: 2,387
สู้ๆ
|
เรื่อยๆมาเรียงๆ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าองค์พระมหาธีรราชเจ้ายังทรงอยู่ คงเรียกวีวีและพวกมาตบเรียงตัวแล้ว โทษฐานทำสมาคมฟุตบอลของท่านตกต่ำถึงเพียงนี้
|
|
|
Benzang แก็งค์อูฐทะเลทราย
Thailandsusu
Sr. Member

คะแนนความรัก: +358/-18
ออฟไลน์
กระทู้: 1,386
ถ่ายภาพไม่สวย...แต่มีความสุขกับการถ่ายภาพ
|
อ่านและดูเพลิน มากเลยครับพี่เปี้ยก ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เดอะวัน
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +35/-9
ออฟไลน์
กระทู้: 2,281
รักบอลไทย เชียร์ไทยลีก
|
ขอบคุณครับ ที่บอกถึงทริปท่องเที่ยวดีๆและการใช้ชีวิตในต่างประเทศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
เรื่อยๆมาเรียงๆ  นกบินเฉียงไปทั้งหมู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
TheFootball
|
เส้นทางนี้ก็น่าสน เทือกเขาคาเมรอน มาเลเซีย 2 วัน 1 คืน ไปมาเลเซียเที่ยวนี้มีเวลา 5 วัน 4 คืน บินกับแอร์เอเชียเช่นเดิม แต่เปลี่ยนจากกัวลาลัมเปอร์เป็นเกาะปีนังแทน ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่งแต่มากับทัวร์ตอนก.ยปี45 มีเวลาน้อยเกินกว่าที่จะรู้จักปีนังอย่างทั่วถึง มาเที่ยวนี้มีเวลาเยอะหน่อยว่าจะเที่ยวให้ทั่ว และจากการที่ดูข้อมูลจากหนังสือหน้าต่างสู่โลกกว้าง แล้วทำให้รู้ว่าเกาะปีนังอยู่ใกล้เมืองอีโปห์เมืองหลวงของรัฐเประ และสามารถขึ้นคาเมร่อนได้ ถนนเส้นใหม่เปิดใช้แล้ว ตอนมาปี45กับทัวร์ก็ขึ้นคาเมรอนเหมือนกัน แต่ก็มาแล้วก็ลงแบบรีบๆเช่นเดิม เลยวางแผนว่าการมาเที่ยวนี้ ขึ้นคาเมรอนอีกซักรอบแล้วเก็บเมืองอีโปห์แห่งรัฐเประอีกเมือง จะได้เหลือเมืองหลวงของรัฐต่างๆที่ต้องเก็บอีกอีกเพียง 4 รัฐเท่านั้นก็หมดแล้ว ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากแผนที่รัฐต่างๆของการท่องเที่ยวมาเลเซียมาแจกในงานท่องเที่ยวเมืองไทย ทำให้พอคำทางไปได้ สุดท้ายก็ไปและกลับมาเรียบร้อย และทำให้ชอบมาเลเซียขึ้นอีกเยอะ ประเทศใกล้ๆที่มีอะไรดีๆเยอะแยะ 22 ก.ค 48 บินแอร์เอเชียไฟท์ 8 โมงเช้าคนเยอะมากเกือบเต็มลำ ออกช้ากว่ากำหนดราว50 นาทีก็โอเค ไปถึงสนามบินเกาะปีนังราว11.00 น ผ่านต.มง่ายดายเช่นเดิม เดินดูรอบๆไม่น่าจะมีรถเมล์ ต้องไปแท็กซี่ซะแล้วไปซื้อตั๋ว ค่ารถไปท่ารถบขส 26 ริงกิต รถแท็กซี่สีขาวสภาพใช้ได้ ขึ้นรถคนขับถามไปท่ารถแล้วต่อรถไปไหน ผมบอกว่าไปเมืองอีโปร์หรือคาเมรอน แกบอกรถหมดแล้วต้องไปขึ้นที่บัตเตอร์เวอร์ธ บนแผนดินใหญ่โน้น ผมถามค่ารถแท็กซี่เท่าไหร่แกบอก 60 ริงกิต ผมคิดในใจเป็นไปได้ไงว๊ะกลางวันแสกๆรถหมด แกเห็นผมเงียบเลยถามว่าตกลงเอาไง ผมบอกไปท่ารถนั้นแหละไม่มีรถก็ไม่เป็นไร ผมไปที่อื่นก็ได้ไม่มีปัญหา แกเลยต้องจำใจพาผมไปที่ท่ารถบขสตามเดิม นั่งเพียง 15 นาทีจากสนามบินก็ถึงแล้ว คนขับไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไหร่มาส่งแบบเสียไม่ได้ ผมลงแล้วเดินเข้าไปในบขส ขึ้นไปชั้นสองมีช่องขายตั๋วเยอะมาก แข่งกันขายส่งเสียงดัง ทั้งๆที่รถที่เห็นชั้นล่างมีไม่กี่คัน แล้วมันมีกว่า 20 ช่องขายแข่งกันอยู่ เดินดูเห็นมีไปอีโปห์ออกตอน 11.30 น ว่าแล้วไงเกือบโดนคนขับรถแท็กซี่หลอกเอาแล้ว นานๆถึงเห็นคนมาเลเซียไม่มีคุณธรรมแบบนี้ซักที เดินไปเดินมาเห็นป้ายรถไปคาเมรอนเดินไปถามเขาบอกมีออกตอน14.00 น ถึงคาเมรอน19.30 น ผ่านอีโปห์ด้วยค่ารถ 23.50 ริงกิตถูกดี แต่ปัญหาคือต้องรอกว่า 2 ชมนี่แค่11.25 น เองเอาไงดีไปรถอีโปห์เที่ยว11.30 น แล้วเที่ยวอีโปห์ก่อนแล้วตอน18.00 น ค่อยดักรอคันนี้ที่อีโปห์ดีหรือเปล่า แต่นี่วันศุกร์ถ้ามันเต็มคงแย่ไม่เอาดีกว่า นั่งเล่นมันบนนี้แหละแอร์เย็นๆ ร้านอาหารก็มีน่ากินด้วย ไม่ได้กินอาหารมาเลเซีย 3 เดือนแล้ว เลยตัดสินใจไปรถเที่ยว14.00 น รวดเดียวถึงคาเมรอนเลย นั่งๆเดินๆอยู่ที่ท่ารถ ออกไปเดินเล่นด้านนอก ข้างๆเป็นศูนย์แสดงสินค้าพอดีมีงานผลไม้ เลยไปเดินดูได้ลองกองมา 2 โลๆละ 4 ริงกิต รสชาดใช้ได้ราคาพอๆกับบ้านเรา พอ14.00 น รถก็ออกตรงเวลามีคนราว 10 คน รถวิ่งขึ้นสะพานที่ยาวที่สุดในเอเซีย ออกจากเกาะปีนังมาท่ารถบัตเตอร์เวอร์ธ ท่าเรือเฟอร์รีและสถานีรถไฟก็อยู่ตรงนั้น มีคนขึ้นมาอีก10กว่าคน ส่วนมากเป็นชาวมาเลเซียมีนักท่องเที่ยวเพียง 6-8 คนทั้งรถ รถก็แอร์เย็นสภาพพอๆกับป.1 บ้านเรา วิ่งทางด่วนตลอดความเร็ว 90 กมต่อชม ราว17.00 นก็ถึงอีโปห์ ผ่านตัวเมืองบ้านเก่าๆสวยๆเยอะดี มาแวะที่ท่ารถอีโปห์จอด 20 นาที คนลงกว่าครึ่งแล้วขึ้นใหม่อีกเท่าๆกัน เดินยืดเส้นยืดสายซักพักพอรถออก 17.30 น ก็ได้ขึ้นคาเมรอนซักทีถึงได้รู้ว่า ถนนเส้นใหม่จากอีโปห์สร้างเสร็จแล้ว ระยะทางไกลกว่าขึ้นทางเก่าเล็กน้อย ถ้ามาจากปีนังทางนี้ใกล้กว่า ถ้ามาจากกัวลาลัมเปอร์ขึ้นทางเก่าใกล้กว่า คราวที่แล้วผมขึ้นทางเก่าคราวนี้ได้เห็นทางใหม่ ถนนตัดอย่างดีกว้างกว่าเส้นเก่าเยอะ โค้งก็เว้นระยะไกลกว่าวิวสวยใช้ได้แต่ไม่มีไร่ชา ที่วิวสวยๆแบบเส้นเก่า มีแปลงปลูกดอกไม้เยอะมากๆเส้นนี้ นั่งดูแผนที่ที่ซื้อมาจากท่ารถเมืองอีโปห์ทำให้รู้ว่า ขึ้นเส้นนี้ ผ่านจุดหลักของคาเมรอนทั้ง 3 จุด โดยเริ่มจากTringkap เป็นจุดที่เริ่มเข้าสู่ชุมชนคาเมรอน มีสถาที่ท่องเที่ยวตลาดดอกไม้ และที่พักมากมายกลายเป็นชุมชนที่ครึกครื่นที่สุดในปัจจุบัน เพราะถนนเส้นใหม่ผ่านจุดนี้ก่อน จุดถัดมาคือBrichang จุดที่เจริญที่สุดในอดีตมีร้านสุกี้เก่าแก่ ซึ่งวันนี้ดูกร่อยลงไปมาก จุดสุดท้ายที่เป็นท่ารถบขสคือ Tanah Rata มีเกรสเฮาส์ราคาถูกมากมาย ฝรั่งชอบอยู่ย่านนี้ที่สุด รถมาจอดที่ Tanah Rata ราว19.30 น ลงรถแล้วปรากฏว่าอากาศเย็นกว่าที่คิด ผมมีแต่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นมาหนาวสั่นพอควร รถของtwinpines มารับไปดูที่พักที่อยู่ห่างท่ารถเพียง 1 กม ฝรั่งส่วนใหญ่ไปรถของfather guesthouse ที่อยู่ห่างไปราว 2 กม พอไปดูtwinpines แล้วนอนไม่ได้ห้องอับๆไม่มีอากาศเป็นห้องแถวคืนละ 50 ริงกิต มีสองเตียงห้องน้ำในตัวแต่ไม่น่านอนมากๆ เลยตัดสินใจไม่พักเดินหนาวๆออกมา เดินดูแถวๆนั้นไม่เห็นมีที่พักน่าพักเลย ที่เห็นแว็บๆก่อนลงรถก็ใหม่เหลือเกินชื่อ Century Pines Resort โทรไปถามดูคืนละ190 ริงกิต แพงไปไม่เอา เดินไปเดินมาอีกพักเลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ 6 ริงกิตไปBrichang ที่ตอนผ่านมาเห็นโรงแรมเล็กๆหลายแห่ง รถวิ่งราว 10 นาทีก็ถึงBrichang ลงรถแล้วเดินดูแต่ละแห่งส่วนใหญ่เก่าลงไปตามเวลา เห็นRainbow hotel ดูน่าจะใหม่หน่อยเข้าไปถามดูคืนละ 70 ริงกิต ขอเข้าขึ้นไปดูห้องห้องเล็กมีสองเตียงสะอาดพอใช้ได้ เลยนอนที่นี่แหละ บอกเขานอนสองคืน เจ้าหน้าที่บอกคืนนี้ 70 พรุ่งนี้วันเสาร์ 140 ริงกิตเป็นงง แพงกว่าเท่าตัวเลยไม่เอานอนคืนเดียวก็ได้ เขาบอกวันเสาร์คนเยอะเป็นวันหยุดคนมาเที่ยวคาเมรอนมาก ที่พักราคาถูกเต็มเกือบหมดทุกแห่ง ตอนแรกกะนอนสองคืนแล้วเที่ยวพรุ่งนี้ 1 วันเต็ม เหลือนอนแค่คืนเดียวต้องเปลี่ยนแผนจากเจาะลึกเป็นสำรวจแทน เข้าห้องหาเสื้อหนาๆใส่แล้วลงมาหาสุกี้กินดีกว่า เจอร้านใกล้ๆโรงแรมคนแน่นมาก ส่วนมากกินกันโต๊ะละหลายคน สั่งมาลองกินดูผักสดมาก ลูกชิ้นก็อร่อย น้ำหวานและร้อนมากๆราคาก็ไม่แพงกินได้สบายๆ อาหารมาเลเซียอร่อยไม่แพง กินเสร็จเริ่มดึกแล้วคนเริ่มน้อย เดินสำรวจโรงแรมแถวนี้ทั้งหมดไม่น่าพักซักที่ ราคาราว70-100 ริงกิต ที่น่าสนใจและใหญ่หน่อยก็มี 2 แห่งแถวนี้คือ Hotel country lodge อยู่บนเนินวิวสวย อากาศดีเป็นตึก3 ชั้นคืนละ 150 ริงกิต อีกแห่งคือ rosa&passadena hotel เป็นโรงแรมใหญ่สูง 6ชั้น ราคา 180 ริงกิต แต่รวมๆแล้วไม่ค่อยได้บรรยากาศแบบที่ต้องการเท่าไหร่ กลับเข้ามาในห้องแล้วไม่มีอะไรทำ นั่งดูแผนที่แล้วโทรไปถามราคารีสอร์ทต่างๆเล่นๆที่สวยๆราคาคืนละ 300-600 ริงกิต แพงนอนไม่ไหว หาที่ไม่เกิน 150 ริงกิตแบบที่ชอบไม่มีเลยซักที่ นอนดีกว่าหนาวจะตายหรี่แอร์ก็ไม่ได้ไม่มีแอร์ จะปิดหน้าต่างก็หายใจไม่ออก นอนหนาวไปดีกว่า 23 ก.ค 48 ตื่นตอน6.00 น ออกมาเดินเล่นฝนตกพรำๆ หรือหมอกตกก็ไม่แน่ใจ อากาศหนาวดีหมอกลอยลงมาเคลือบตัวเป็นระยะๆ คนเยอะมากส่วนใหญ่เป็นทัวร์มาเลเซีย พี่แกเล่นประหยัดนอนบนรถมาเช้าที่นี่ไม่ต้องเปลืองค่าโรงแรม ย่านBrichang เช้าๆไม่ค่อยมีอะไรมีตลาดเล็กๆอยู่สองแห่งก็ไม่ค่อยมีอะไร เดินเล่นซักพักแท็กซี่มาพอดีเลยเรียกไป Tanah Rata ที่เมื่อคืนมาลงรถตอนมืด ไปเดินดูตอนสว่างๆหน่อนว่าเป็นไง ค่ารถคนละ 2 ริงกิต ไปลงที่ท่ารถเมื่อคืน ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวยาวมีร้านอาหารหลายร้าน ที่เป็นจุดเด่นของ Tanah Rata เพราะสามารถมานั่งกินอาหารว่าง หรือกินข้าวหนักๆ แล้วนั่งคุยกันกลางอากาศหนาวๆได้ทั้งวัน เมื่อคืนก็เห็นฝรั่งนั่งกันเต็มไปหมด เช้านี้ก็เช่นเดิมมานั่งกันแต่เช้า กินกาแฟ โรตี อาหารฝรั่งคุยกันสบายๆ และมีร้านขายของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุดในคาเมรอนก็อยู่แถวนี้ชื่อ Yung seng และยังมีร้านเล็กๆขายเสื้อยืดอีกหลายร้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง ได้เสื้อตัวละ15 ริงกิตมาตัวเดียว มีร้านขายชาอยู่สองสามร้าน Tanah Rata ดูสงบกว่าBrichang ไม่มีโรงแรมเล็กๆน่านอนเลย มีแต่พวกใหญ่ๆเช่น Century Pines Resort ที่อยู่ใกล้ชุมชนสุด นอกนั้นอยู่นอกชุมชนออกไปยังสำรวจไปไม่ถึง ถ้าใครมาจากเส้นเดิมก่อนถึง Tanah Rata จะเจอรีสอร์ทหลายรีสอร์ท อยู่ในซอยลึกบนเนินเขา ห่างๆกันเช่น Heritage hotel ที่เมื่อคราวที่แล้วมากับทัวร์ๆนอนที่นี่ ผมว่าใช้ได้นะแต่ราคาราว 200-300 ริงกิต และอยู่นอกเมืองออกมา อีกที่ใกล้ๆกันแต่อยู่คนละซอยคือ Father guest house ที่พักราคาถูกที่ฝรั่งกลุ่มใหญ่เมื่อวานลงรถแล้วมานอน มีรถรับ-ส่งจากท่ารถ เสียดายไม่ได้เข้าไปดู ผมว่าสองที่นี่น่าจะพอได้บรรยากาศสงบๆแบบคาเมรอน คราวหน้าไปดู Father guest house ให้หายสงสัยดีกว่า เดินเล่น Tanah Rata จนทั่วแล้วก็มาสำรวจท่ารถ อ่านป้ายดูมีรถทัวร์ครึ่งวันพาไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวมาตรฐานบนคาเมร่อนได้แก่ ไร่ชา-strawberry farm-honey bee farm-market square- Buddhist temple rose garden-cactus valley(เสียค่าเข้าเอง 4 ริงกิต)-butterfly farm(เสีนค่าเข้าเอง 3 ริงกิต) ค่าทัวร์คนละ 15 ริงกิตออก9.00 และ 13.30 น ซื้อทัวร์ได้ที่ท่ารถ ก็ไม่แพงนะผมว่า แต่ถ้าใครมีเวลาหลายวันอยากเที่ยวแบบสบายๆใช้เวลานานๆในแต่ละที่ เขาก็มีรถเมล์ออกทุก 1 ชม จาก Tanah Rata ไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆค่ารถ 1-2 ริงกิต เที่ยวแรกออก 9.00 น มีถึง 18.00 น วิ่งไปและกลับจอดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆและย่านสำคัญทั้ง 3 ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนใครมาเส้นใหม่จะนั่งรถเมล์เที่ยวเส้นเก่าจาก Tanah Rata ไปถึง tapah ที่อยู่ทางขึ้นสายเก่าก็ทำได้ มีรถวิ่งวันละหลายรอบไม่ต้องเหมาแท็กซี่ให้เปลืองเงิน ขอเพียงมาให้ถึงท่ารถที่ Tanah Rata เป็นใช้ได้ หลังจากสำรวจเส้นทางที่จะมาเที่ยวครั้งหน้าแบบเจอะลึกเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาซื้อตั๋วรถทัวร์ลงไปเมืองอีโปห์ มีเที่ยว13.30 น รถยาวไปถึงปีนัง ลงอีโปห์ได้ ซื้อตั๋วที่นี่แล้วไปรอขึ้นรถที่Brichang ได้ ซื้อเสร็จก็ขึ้นรถเมล์เที่ยว 10.30 น กลับBrichang ถนนจาก Tanah Rata มา Brichang ระยะทาง 5 กม มีสนามgolf รอบๆมีรีสอร์ทราคาแพงหลายแห่งเช่น Merlin Cameron , Villa dahlia , Hotel casa de la rosa , The smokehouse ที่ล้วนแต่น่านอนแค่ราคาสูงนอนไม่ไหว ลงรถที่Brichang แล้วเดินย้อนมาสนามgolf นี่ขนาด 11.00 น แล้วอากาศยังหนาวสบายๆเลย จุดนี้มีเสื่อซักผืนมากางนอนฟังเพลง อ่านหนังสือ สุดยอดครับ ราวเที่ยวก็มานั่งกินข้าวที่ Brichang กินข้าวมันไก่ เห็นรถตู้จากหาดใหญ่พาคนไทยมา 2 ตู้ พอได้เวลาก็ไปรอขึ้นรถไปเมืองอีโปห์ เสียดายเวลาไม่พอเลยไม่ได้ไปสำรวจย่านTringkap ที่ผ่านแล้วรู้สึกว่าจะเจริญกว่าทั้งสองย่านที่เที่ยวมา เอาไว้คราวหน้าก็ได้คงต้องนอนซัก 4 คืนจึงจะเที่ยวทั่วแบบสบายๆ ยังไงก็ต้องหลบวันเสาร์ที่พักแพง... คาเมรอน ไฮแลนด์ 22-23 ก.ค 48 http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kj2428&month=16-01-2007&group=62&blog=3 http://www.our-us.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=173673&Ntype=4
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
อีโปห์เมืองหลวงของรัฐเประ มาเลเซีย เมืองแห่งวัดถ้ำ 23 ก.ค 48 ราว 16.00 น ก็ลงจากคาเมรอนมาถึงท่ารถเมืองอีโปห์อีกรอบ ลงรถแล้วเรียกแท็กซี่ 10 ริงกิตไปส่งที่โรงแรม Majestic เป็นโรงแรมที่อยู่ในตึกสถานีรถไฟ ตึกสวยมากๆยังกับอยู่ในปราสาทสมัยโบราณ เป็นสถาปัตยกรรมแบบแขกมัวร์ ลิฟท์เป็นแบบดั่งเดิมต้องปิดประตูนอกด้วยมือ เก๋าสุดยอดขึ้นไปเจอโรงแรมแบบเดิมๆ เหมือนบ้านในหนังฝรั่งที่เคยดู สุดยอดจริงๆแต่ห้องเก่าและโบราณไปนิด ห้องน้ำก็เก่า แต่พอนอนได้คืนละ 88 ริงกิต ถือว่ามานอนปราสาทยุคโบราณซักคืน แต่ตัวตึกสวยจริงๆนะทัวร์ยังพาลูกทัวร์มาชมโรงแรมนี้เลยเก๋าสุดยอด ตอนแรกวางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้จะเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไฟไป บัตเตอร์เวอร์ธ ไปถามเวลารถไฟปรากฏว่ารถมาตอนตีหนึ่ง ใครจะไปดึกตายชัก เลยเปลี่ยนแผนนั่งรถทัวร์ไปที่บัตเตอร์เวอร์ธ แทนไม่ข้ามไปปีนังเลยเพราะ อยากลองนั่งเรือเฟอร์รี่ดู เข้าที่พักแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจเมืองอีโปห์เมืองหลวงของรัฐเประ รัฐแห่งดีบุก เดินไปตามแผนที่ดูตึกเก่าๆสวยๆ ตั้งแต่สนามเมืองไปจนถึงย่านธุรกิจกลางเมือง มีตึกโบราณสวยๆให้ดูมากมาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านค้าปิดเกือบหมด เมืองจึงเกือบร้างมาถ่ายหนังพวกเมืองผีดิบได้เลย ไม่มีคนเลยเงียบสนิท ถนนก็ใหญ่มากวางผังมาอย่างดี คนเมืองอีโปห์น่าอิจฉา ขับรถแค่ 1 ชมก็ถึงคาเมรอน ขึ้นเขานอนหนาวๆสบายๆ ขับไป 1 ชมก็ถึงทะเลฝั่งตะวันตก มีชายหาดมีเกาะใกล้ฝั่ง ขับไป 2 ชม ก็ถึงเมืองไทปิงเมืองแห่งทะเลสาบและขุนเขา ที่ผมอยากไปเอาไว้เที่ยวหน้า และรอบๆอีโปห์ยังมีถ้ำตามภูเขาหินปูนอีกกว่า 30 ถ้ำ และมีวัดถ้ำที่สวยๆอีกหลายแห่งที่จะไปพรุ่งนี้เช้า เดินเล่นในเมืองไปเจอร้านทำขนมเปี๊ยะวันนี้เปิด ไปซื้อกินดูอร่อยมากไม่เหมือนใคร ข้างนอกเหมือนซาลาเปาทอด แต่กัดแล้วไม่เหนียว ไส้ไม่หวานจนเกินไป ไส้เค็มก็อร่อยเป็นของฝากที่ไม่ควรพลาดซื้อ ชื่อร้าน yee thye ส่วนโรงแรมในเมืองที่ไม่แพงและพอน่านอนคือ Grand view hotel เดินไปเรื่อยๆเจอร้านขายอาหารทะเลคนแน่นมากต้องอร่อยแนะๆ เพระเห็นคนที่นี่เขากินร้านนี้กัน เดินไปเจอห้างเล็กๆ และต่อไปก็เจอถนนคนเดินขายของตอนกลางคืน ข้างๆเป็นตลาดโต้รุ่งมีของกินมากมาย เดินตั้งแต่ 17.00 น ถึง 21.00 น ได้เวลาสมควรแล้วที่จะเดินกลับไปนอนปราสาทโบราณซักที กลางคืนโรงแรมยิ่งได้บรรยากาศเข้าไปใหญ่ หน้าห้องเป็นระเบียงใหญ่ มีที่นั่งเล่นมีโคมไฟโบราณและพักลมแบบยุคก่อน ได้บรรยากาศดีแท้ๆถ้าปรับปรุงห้องพักอีกนิดแล้วขายซัก120 ริงกิตก็จะดีกว่านี้อีกเยอะ นอนดีกว่าใครกลัวผีอย่ามานอนโรงแรมนี้นะ เพราะกลางคืนได้บรรยากาศโรงแรมในหนังผีจริงๆ 24 ก.ค 48 ตื่นมานึกๆดูตอนตี 1 ไม่เห็นได้ยินเสียงรถไฟเลย แปลกแฮะทำไมไม่ได้ยิน กินข้าวเช้าเสร็จ 8.00 น ก็อำลาโรงแรมที่ตึกสวยที่สุดเท่าที่เคยนอนมา ออกมาด้านนอกเรียกแท็กซี่ไปถามว่าไปวัดซัม โปะห์ ตง แล้วไปส่งท่ารถคิดเท่าไหร่คนขับบอก 20 ริงกิต ผมก็โอเค รถวิ่งราว15 นาทีก็ถึงวัด ซัม โปะห์ ตง วัดนี้เป็นวัดถ้ำมีวัดข้างๆอีก 2 วัดติดกัน วัดนี้ด้านหน้าสวยมาก เดินเข้าไปในวัดที่ลึกเข้าไปในถ้ำ เป็นโพรง เดินทะลุไปด้านหลังผ่านไปนอกถ้ำเป็นที่โล่งมีโบสถ์สวยงาม และบ่อเต่า 1 บ่อเต่าเยอะมากๆ ซื้อผักโขมหน้าวัดมาเลี้ยงเต่า ผมเพิ่งเคยเห็นเต่ากินผักเต็มๆตาก็คราวนี้แหละ วัดนี้มีทางเดินขึ้นไปด้านบนชมวิวเมืองอีโปห์ได้ และมีร้านอาหารมังสวิรัตด้วย ไม่ควรพลาดชม ออกจากวัดซัม โปะห์ ตง เดินมา50เมตรเจอวัด Tokong nam thean tong เป็นวัดถ้ำเหมือนกัน ด้านนอกมีสระน้ำมีปลาแปลกๆยาวๆอยู่ 1 คู่ วัดติดๆกันคือวัด Ling sen tong สวยมากครับวัดนี้มีรูปปั้นสวยๆมากมาย ทั้งสามวัดนี้สวยมากครับมาขึ้นรถบอกคนขับว่าวัดถ้ำอีโปห์สวยมาก คนขับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความเป็นชาตินิยมสูงเหมือนคนขับที่เมืองกวนตันเลย แกบอกว่าแถวนี้มีอีกวัดที่สวยกว่านี้คือวัด ซัม โปะห์ ตงแกไม่ถามผมเลยพาไปลูกเดียว วัดนี้ผมก็มีในหนังสือแต่คิดว่าไปแค่วัดเดียวก็พอ แต่แกจะพาไปก็เอาหน่อยนั่งรถ 10 นาทีก็ถึง วัดซัม โปะห์ ตง อยู่ในเขาหินปูนที่ใหญ่กว่าวัดซัม โปะห์ ตง อีก รอบๆสวยมากอยู่หน้าเขาวัดอยู่ในเขา เป็นถ้ำหินปูนใหญ่มาก ด้านในวัดมีพุทธรูปสวยๆหลายองค์ เดินมาทะลุด้านหลังเป็นที่โล่ง มีทะเลสาบและสวนสวยงาม สวยจริงๆครับวิวมุมนี้และวัดนี้ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งสุดยอด ไปก็ง่ายเข้าก็ไม่ลำบาก ออกมาขึ้นรถชมให้คนขับฟัง ดูแกเฉยๆเพราะมั่นใจในความสวยงามอยู่แล้ว นับถือคนมาเลเซียมีความเป็นชาตินิยมสูงจริงๆ แกมาส่งที่ท่ารถคิดค่ารถ 20 ริงกิตไม่มีบวกเพิ่ม มาเดินดูตั๋วรถไปบัตเตอร์เวอร์ธ เจอบริษัทหนึ่งเป็นรถ 24 ที่นั่งราคา11.5 ริงกิต เลยไปเจ้านี้รถออก11.30 น ถึงบัตเตอร์เวอร์ธ 13.30 น เป็นการอำลาเมืองอีโปห์เมืองที่มีอะไรดีๆอีกเยอะ ที่คงต้องกลับมาใช้เป็นฐานในการเที่ยวคาเมรอน ไทปิงและบูกิต ลารุต... ipoh เมืองหลวงของรัฐเประ มาเลเซีย 23-24 ก.ค 48 http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kj2428&month=16-01-2007&group=62&blog=4ตปท...Majestic hotel เมืองอีโปห์ มาเลเซีย สถาปัตย์กรรมสุดสวย http://www.our-us.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=174394&Ntype=5 http://www.our-us.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=174396&Ntype=4
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
Ubudiah Mosque From Wikipedia, the free encyclopedia Jump to: navigation, search Masjid Ubudiah in Kuala Kangsar.Masjid Ubudiah is Perak's royal mosque, and is located in the royal town of Kuala Kangsar, Malaysia. It is often regarded as Malaysia's most beautiful mosque. [edit] HistoryMasjid Ubudiah - ranking high on the list of Malaysia's most beautiful mosques, the Masjid Ubudiah (or Ubudiah Mosque) stands proudly and majestically in Kuala Kangsar, with its golden dome and minarets creating a spellbinding sight, from near and afar. The mosque was designed by Arthur Benison Hubback, a government architect who is notably credited for the design of the Ipoh railway station and the Kuala Lumpur railway station. Built in 1917 during the reign of the 28th Sultan of Perak, Sultan Idris Murshidul'adzam Shah 1, the Masjid Ubudiah is located beside the Royal Mausoleum on Bukit Chandan. It was commissioned on the orders of the Sultan, who vowed that he would build a mosque of great beauty as thanksgiving for recovery from an illness which plagued him in those early days. The construction of the mosque was not without difficulties. Work was interrupted several times, once when two elephants belonging to the sultan's and Raja Chulan were fighting and ran over and damaged the imported Italian marble titles. The mosque was finally completed in late 1917 at a total cost of RM200,000- quite an astronomical figure for those days. It was officially declared open by Sultan Abdul Jalil Karamtullah Shah, successor to Sultan Idris. This imposing structure is now a symbol of great pride to all Muslims in the state of Perak Darul Ridzuan, the Land of Grace http://en.wikipedia.org/wiki/Ubudiah_MosqueKuala Kangsar From Wikipedia, the free encyclopedia Kuala Kangsar (population 39,300) is the royal town of Perak, Malaysia, located at the downstream of Kangsar River, where it flows into the Perak River. It is the main town in the administrative district of Kuala Kangsar. http://en.wikipedia.org/wiki/Kuala_Kangsar
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
TheFootball
|
เดือนสิงหาคมนี้เจอกันอีกที ซีเกมส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เซลล์โรงพิมพ์
Thailandsusu
Hero Member

คะแนนความรัก: +1151/-1929
ออฟไลน์
กระทู้: 11,276
|
นึกถึงตอนผมเล่นสู้สู้ใหม่ๆเลย ช่วงนี้แทบไม่ค่อยเห็น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TheFootball
|
นึกถึงตอนผมเล่นสู้สู้ใหม่ๆเลย ช่วงนี้แทบไม่ค่อยเห็น
ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
0o*-...matahjang...-*o0
Hero Member
   
คะแนนความรัก: +113/-151
ออฟไลน์
กระทู้: 4,219
อยากให้สโมสรจากชุมพรเล่นไทยลีกบ้างอ่ะ
|
The Football บุคคลในตำนานบอร์ดเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|