พอได้ยินคำว่า "ช่างภาพข้างถนน" แล้ว ภาพในหัวจะนึกถึงแต่ช่างภาพที่แต่งตัวซมซ่อ สกปรก เสื้อผ้าขาดวิน ผมเป็น
กระเซิง สะพายกล้องเก่า ๆ สายสะพายจะขาดมิขาดเหล่อยู่แล้ว เดินต๊อก ๆ ข้างถนน แค่ชื่อก็ดูเหมือนไม่มีความ
ไพเราะอยู่แล้ว เป็นอะไรที่ต่ำต้อยเสียเหลือเกิน เป็นช่างภาพเฉย ๆ ไม่ได้ ทำไมต้องอยู่ "ข้างถนน" ด้วยเล่า
คำว่า "ช่างภาพข้างถนน" เป็นคำที่ "ตาเกิ้น" แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Street Photographer" นับคำ
แปลที่ตรงตัวและให้ความหมายในตัวมันเองอย่างสมบูรณ์ลงตัวที่สุด
สถานที่ทำงานของช่างภาพข้างถนน ก็คือข้างถนนนั้นเอง เขาจะเป็นช่างภาพที่เก็บภาพจากรอบ ๆ ตัว ตามท้องถนน
หน้าปากซอย ในเมือง ในหมู่บ้าน หรือในสังคมที่อยู่ขณะนั้น โดยมากมักจะเป็นภาพอากัปกิริยาต่างของผู้คนที่ถูกถ่าย
อย่างไม่รู้ตัว ทำให้ภาพเป็นไปอย่างธรรมชาติ ตามบรรยากาศในความเป็นจริง ต้องไม่มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งแต่อย่างใด
ลืมเรื่อง Photoshop ไปเลย ภาพทั้งภาพจะให้ความรู้สึกเหมือนผู้ดูเข้าไปอยู่ในภาพนั้น ๆ รู้สึกมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น ๆ
กับเขาด้วย
ช่างภาพที่ถ่ายภาพในลักษณะนี้ คล้าย ๆ กับช่างภาพสารคดีเชิงบอกเล่าความเป็นไปต่าง ๆ ของสังคม หรือที่เรียก
ว่า Photojournalist หรือ Documentary Photographer เพียงแต่ Street Photographer จะมีอิสระในทางความคิด
มากกว่า ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เห็นได้จังหวะเมื่อไร ก็เก็บภาพเมื่อนั้น นึกอยากจะถ่ายก็ทำเลย
โดยไม่ต้องมี บก. ต้นสังกัดมานั่งตีกรอบหา Topic ให้ทำ
ปัจจัยในของการเป็นช่างภาพข้างถนนที่ดีประกอบไปด้วย 1. สถานที่ถ่ายภาพ 2. ช่างภาพ 3. อุปกรณ์ถ่ายภาพ และ
4. เทคนิคการถ่ายรูป และ 5. เทคนิคของตัวช่างภาพเอง โดยขอเริ่มจาก
1. สถานที่ถ่ายภาพ
การถ่ายภาพข้างถนนนั้น อาจจะเรียกว่าเป็นการถ่ายภาพแนวไลฟ์ แนวแคนดิท ก็ว่าได้ ดังนั้นสถานที่จะถ่ายภาพ
ให้สนุก มีความหลากหลาย มีชีวิตชีวากว่าก็น่าจะเป็น ตามเมืองใหญ่ ๆ ที่มีแต่ความวุ่นวาย ผู้คนต่างคนต่างทำกิจกรรม
ของตนเอง โดยไม่ได้ใส่ใจกับบุคคลรอบด้านนัก ถ้าเป็นในกรุงเทพฯ คงเป็นแถว ๆ เยาวราช, รามคำแหง, บางกะปิ
อะไรแบบนั้น ต่างประเทศใกล้ ๆ บ้านเรา ที่ผมเคยไปเดินเก็บภาพมาแล้วก็มี ฮ่องกง, โตเกียว, เชียงไฮ้, เซินเจิ้น ฯลฯ
เมืองเหล่านี้จะถ่ายภาพได้สนุกมาก ต่างคนต่างไม่สนใจใคร ตัวช่างภาพสามารถเดินเข้าไปใกล้ชิดกับแบบ จะได้ภาพ
แบบที่เป็นธรรมชาติ บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี นอกจากผู้คนที่หลากหลายแล้ว ยังมีวัฒนธรรมแตกต่างกันอย่างมี
นัยะให้เราถ่ายรูปสนุกด้วย
2. ช่างภาพ
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับงานนี้ก็คือ ตัวช่างภาพเอง จริงมั๊ยครับ มีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม
แต่ไม่มีคนถ่าย ภาพถ่ายนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับผู้ที่รักในการถ่ายแนวสตรีทพวกนี้ นอกจากจะเป็นคนที่มีหัว
ทางอาร์ตหน่อย ประเภทที่ว่ามองเห็นกองขยะก็สวยงามได้ ต้องสามารถมองจากสิ่งธรรมดาสามัญ สิ่งที่พบเห็นจน
เจนตา บรรจุลงในภาพถ่ายให้มีความสวยงาม ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ และควรต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มองเห็น
มนุษย์เป็นเพื่อน ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อที่คอยจ้องจะรับประทานเราได้ทุกเวลา
ตัวช่างภาพเองไม่จำเป็นต้องยึดติดกับกรอบหรือกฏเกณฑ์ของการถ่ายภาพมากนัก มิฉะนั้นแล้วพวกเราก็จะอยู่
แต่ในกรอบเดิม ๆ ภาพออกมาเป็นรูปแบบเดิม ๆ ตราบใดที่ยังมีกรอบล้อมรอบตัวเรา ความคิดสร้างสรรค์หรือความ
ครีเอทีฟคงไม่บังเกิดออกมาจากสมองซีกขวาของเราแน่
อัลเบริต์ ไอสไตล์ เคยพูดไว้ว่า "จิตนนาการสำคัญกว่าความรู้" นะพี่น้อง
พอมาถึงตรงนี้ ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับช่างภาพที่มีชื่อของอเมริกาอยู่คนหนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่า
อ่านมาจากเว็ปไหน อ่านเสร็จก็จดข้อมูลที่สำคัญไว้เท่านั้น)
ช่างภาพคนนี้ชื่อนาย Gary Winogrand เป็นคนอเมริกัน เป็นช่างภาพข้างถนน มีชื่อเสียงมาก ในวงการยกย่อง
ให้เป็นระดับ Master of Photographers เกิดในนิวยอร์คในปีค.ศ. 1924 และพึ่งตายเมื่อปี 1984 ไม่กี่ปีมานี้ ทั้ง ๆ
แกรี่พึ่งมีอายุเพียงแค่ 54 ปีเท่านั้น สาเหตุเกิดจากการเป็นมะเร็งในตับ น่าเสียดายมากสำหรับคนหนุ่มอนาคตไกลที่
สร้างสรรงานศิลป์ไว้ให้ชาวโลกได้ชมกันน้อยเกินไป
พี่แกเป็นช่างภาพข้างถนนที่ขยันทำงานมาก มีกฎเกณฑ์ประจำตัวคือ แต่ละวันจะต้อง
ออกตะเวณไปตามท้องถนนทั่วนิวยอร์ค พร้อมกล้องตัวเล็กที่ห้อยคออยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง ๆ จะต้องถ่ายภาพให้ได้
3 ม้วนทุกวัน ด้วยฟิลม์ขาวดำไวแสง Tri-X ของโกดัก
ถ้าแกรี่ถ่ายรูปวันละ 3 ม้วน เท่ากับว่าพี่แกถ่ายรูปจำนวน 36 x 3 = 108 รูปต่อวัน หรือ 39,420 รูปต่อปี รวมแล้ว
มากกว่า 1,182,600 รูปตลอดชีวิตที่เป็นช่างภาพข้างถนนกว่า 30 ปี ตอนที่เขาตายในปี 1984 นั้น เพื่อนช่างภาพได
้ไปค้นที่อพาร์ทเมนท์ของเขา พบฟิลม์ที่ถ่ายแล้วแต่ยังไม่ได้นำไปล้างจำนวนถึง 2,500 ม้วน และพบอีก 6,500 ม้วน ที่
ล้างแล้วแต่ยังไม่นำไปทำ contact print เท่านี้ยังไม่พอนะครับ ยังมีฟิลม์อีก 3,000 ม้วน ที่ทำ contact print แล้วแต่
ยังไม่ได้อัดออกมาเป็นรูป...ว้าว....
กล้องที่นายแกรี่ วิโนแกรนด์ ใช้มาตลอดชีวิตเป็นกล้องยี่ห้อ Leica ครับ....โดยกล้องตัวสุดท้ายที่ใช้เป็นรุ่น M4
กล้องตัว Leica M4 ตัวนี้กลายเป็นของสะสมที่มีมูลค่าเป็นล้านบาทแล้ว
ถ้าไปเห็น Leica M4 ที่มีซีเรียลนัมเบอร์นี้ ให้พี่น้องคว้าไว้เลยนะครับ รับรองเอาไปขายต่อ "รวย" แน่.. ขนาดนาย
สตีเฟนท์ แกรดี้ เจ้าของเว็ปไซด์เกี่ยวกับไลก้าอันโด่งดัง ที่นักเล่นไลก้าต้องเข้าไปหาข้อมูล
http://www.cameraquest.com นายสตีเฟนท์ยังเอ่ยปากยอมรับเลยว่า "เกิดมาไม่เคยเห็นกล้องไลก้าตัวไหนที่ใช้งานหนักเท่านี้มาก่อนเลย" "I've
never seen the image of film worn into a pressure plate before, he may have used it too much......nah..."
เห็นไหมครับว่า การเป็นช่างภาพข้างถนนที่ดีนั้น ต้องมีการฝึกฝน ต้องมีความเพียร
ความพยายาม ความขยัน มั่นออกไปถ่ายรูปแล้วประสบการณ์จะสอนเราเอง ถ้าออกไปถ่ายรูป 1 ม้วน 36 รูป ในนั้น
อาจได้รูปดี ๆ ซ่อนอยู่เพียงแค่ 1-2 รูป ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากพอแล้วสำหรับช่างภาพคนนั้น
ที่สำคัญเวลาถ่ายภาพคือ ต้องมองภาพที่จะถ่ายได้ออกมาให้ออก ต้องใช้จินตนาการให้เป็น ไม่ใช่มีหน้าที่แค่มอง
ภาพแล้วเอานิ้วไปกดชัตเตอร์เท่านั้น แต่ให้จิตนาการถึง output ของภาพที่จะออกมาในตอนพริ้นท์เป็นรูปแล้วด้วย ทั้ง
เรื่ององค์ประกอบภาพ เรื่องแสงเงา ความมีชีวิตชีวา การบอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ของภาพที่ได้
3. อุปกรณ์ถ่ายภาพ
3.1 กล้อง
กล้องที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพในแนวนี้ ต้องเป็นกล้องขนาดไม่ใหญ่ เลนส์ไม่โตนัก
มิฉะนั้นจะเป็นที่สังเกตของตัวแบบได้ ลองนึกดูว่าตัวคุณเองโดน ช่างภาพที่ไหนก็ไม่รู้ เอากล้องตัวเบอะเรอะ ติด
แบตเตอรีแพ็ค พร้อมเลนส์สีขาวใหญ่กว่ากระบอกข้าวหลาม พอยกกล้องขึ้นเล็งแล้ว รับรองตัวใครตัวมัน ตัวแบบที่
ถูกถ่ายต้องระวังตัว หวาดระแวง แสดงท่าที่ขัดเขิน ประหม่า ก็รีบวิ่งหนีหายไปเลย
ถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย ผีซ้ำด้ามพลอย ประเภทพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ตัวแบบวิ่งเข้าใส่ กระชากคอ
ช่างภาพ มาถามว่า "แอบถ่ายตรูเรื่องอะไรฝ่ะ" มีเรื่องมีราวเจ็บตัวกันไปเปล่า ๆ อย่าลือว่า เราเป็น Street Photographer
นะครับ ไม่ใช่ พวก ปาปารัสซี่ที่คอยไล่ตามแอบถ่ายดาราดัง คนดังวงการต่าง ๆ เพื่อไปขายหาเงินเลี้ยงปากท้อง แต่
เราทำเพียงสร้างงานศิลปนะครับ
2.2 ชนิดของกล้อง
กล้องสำหรับถ่ายสตรีทนั้น เป็นอะไรก็ได้แต่ขอให้มีขนาดเล็ก ๆ ก็พอแล้ว เวลาเราเดินไป
ไหนมาไหน ผู้คนหรือแม้แต่ตัวแบบเองจะได้มองตัวช่างภาพเหมือนกับพวกทัวร์รีสจากแผ่นดินใหญ่ ที่มาเดินช็อปปิ้ง
ท่องเที่ยวอโนเน๊ะ แทนที่จะเห็นหน้าเรามีเขี้ยวโผล่ออกจากปากเหมือนบรรดามือโปรทั้งหลาย สามารถกลมกลืนไปกับ
สภาพแวดล้อมได้ดี
กล้องแรงจ์ไฟเดอร์ กล้องดิจิตอล
ช่างภาพสตรีทที่มีชื่อเสียงโดยมากจะใช้ฟิลม์ขาว-ดำ กับงานของเขา ภาพขาว-ดำ เป็นภาพที่เหมาะกับการภาพ
สตรีทมาก เพราะให้อารมณ์ ความรู้สึก ออกมาได้ดีกว่าการเป็นภาพสี ภาพขาว-ดำมีความเป็นนิรันดร ดังนั้นกล้องที่
ใช้ควรเป็นกล้องฟิลม์ มากกว่ากล้องดิจิตอล ซึ่งกล้องฟิลม์ตัวเล็ก ๆ มักจะเป็นกล้อง Range Finder ซึ่งมีให้เลือกทั้งที่
เป็นระบบแมคคานิคล้วน และมีระบบออโตปรับความเร็วอัตโนมัติในตัว โดยช่างภาพเพียงแต่เลือกเปิดรูรับแสงเท่านั้น
กล้องก็จะปรับความเร็วให้สัมพันธ์กับสภาพแสงในเวลานั้นให้เอง
ข้อดีของกล้องฟิลม์ Range Finder อีกอย่างหนึ่งคือการกินแบตเตอรี่น้อยมาก โดยเฉพาะกล้องแมคคานิค ที่ใช้
พลังงานจากแบตเตอรี่ เพื่อเครื่องวัดแสงเท่านั้น แม้แบตฯ หมด ยังสามารถใช้ถ่ายต่อไปได้สบาย ถ้าเป็นกล้องออโตรุ่น
ใหม่ต่าง ๆ เวลาที่แบตฯ หมด ชีวิตช่างภาพก็อาจหมดลงไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดากล้องดิจิตอลทั้งหลายนั้นเอง
2.3 เลนส์
กล้องแรงจ์ไฟเดอร์ เป็นกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ให้เหมาะสมกับระยะเป้าหมายได้ ถึงตรงนี้นักเล่นกล้องดิจิตอลอาจ
จะแย้งว่า กล้องดิจิตอล คอมแพ็ค รุ่นต่าง ๆ ที่มีขายทั่วไป ล้วนแล้วแต่ติดเลนส์ซูมถ่ายได้ถ้าได้หลายระยะ โดยไม่เห็น
จำเป็นต้องแบกเลนส์ติดตัวไปให้มากเรื่อง แต่...ครับ...แต่... อย่างที่นักถ่ายภาพทุกคนรู้ว่า เลนส์ fixed ยอมให้ความ
คมชัดมากกว่าเลนส์ซูมของกล้องดิจิตอลอยู่แล้ว และสามารถถ่ายทอดโทนของสีได้ออกมามากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โทนของภาพขาว-ดำ
กล้องตัวเล็ก ๆ ประเภทคอมแพ็ค หรือกล้องฟิลม์ชนิด Range Finder จะเหมาะสมกับภาระกิจมากกว่าแน่นอน โดย
เฉพาะข้อดีด้านน้ำหนัก สามารถนำติดตัวไปได้หลายเลนส์ หรือหลายความยาวโฟกัส ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน
ขณะนั้น งานถ่ายภาพข้างถนนจำเป็นต้องเดินหามุมถ่ายภาพ อุปกรณ์ที่ติดตัวทั้งกล้องและเลนส์ต้องมีขนาดกระทัดรัด
น้ำหนักเบา ทำให้กระเป๋ากล้องของคุณเบาขึ้นด้วย และก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระเป๋ากล้องใบใหญ่ให้เป็นที่สังเกตุของ
คนรอบข้าง
จะเห็นได้ว่าขนาดของตัวเลนส์ กล้อง Range Finder ต่างกับเลนส์กล้อง DSLR ลิบลับ
เลนส์สำหรับถ่ายภาพสตรีทนั้น เลนส์?ที่เหมาะสมควรเป็นเลนส์ไวด์ ตั้งแต่ 21, 28 และ 35 มม. ไปจนกระทั่งเลนส์
50 มม. สำหรับเลนส์ 35 มม. จะเป็นเลนส์ที่เหมาะสมสำหรับถ่ายภาพสตรีทมากที่สุด คือไม่ไวด์จนทำให้ภาพผิดส่วน
ขนาดเดียวกันก็กว้างพอสำหรับเก็บตัวแบบและบรรยากาศโดยรอบได้ดี ส่วนเลนส์เทเลโฟโต้ไม่เหมาะกับงานอย่างนี้
เพราะทำให้มุมมองแคบ เหมาะกับการถ่ายภาพแบบ Portrait มากกว่า
จากซ้ายไปขวา
Voigtlander 28 mm. f/3.5,
Leica Summicron-M 35 mm. f/2 ASPH,
Canon Zoom 17-40 mm. f/4 L
Canon Zoom 70-200 mm. f/4 L
จะเห็นได้ว่าขนาดของตัวเลนส์ กล้อง Range Finder ต่างกับเลนส์กล้อง DSLR ลิบลับ
การเลือกใช้เลนส์นั้นขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างภาพแต่ละคน ปรมาจารย์ช่างภาพข้างถนนที่โด่งดัง นาย
ฮองรี คาร์ติเยร์ เบนซอง ใช้เลนส์ 50 มม. เป็นเลนส์มาตรฐานติดกล้องตลอดเวลา โดยเขาให้เหตุผลว่า เลนส์ 50 มม.
มีมุมมองเท่ากับสายตาของคนปกติมอง จึงทำให้ภาพดูออกมาเป็นธรรมชาติกว่าเลนส์ขนาดอื่น ๆ
3. ฟิลม์
ถ้าเป็นกล้องดิจิตอล คอมแพ็ค ก็คงไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวในการเลือกใช้ฟิลม์แบบต่าง ๆ เพียงแต่เตรียมแม็มโมรี
ให้พอเพียงเท่านั้น งานช่างภาพข้างถนนนิยมถ่ายเป็นภาพขาว-ดำ ซึ่งภาพขาว-ดำ เป็นภาพที่ให้ความลึกลับซับซ้อนชวน
ติดตาม สามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้เหมาะกับงานลักษณะนี้มาก
ในการถ่ายภาพข้างถนน เรามิอาจกำหนดตายตัวลงไปได้ว่า จะต้องถ่ายอะไร ถ่ายที่ไหน เวลากี่โมง มีแสงแดดมาก
น้อยเพียงใด ดังนั้นจึงควรเตรียมพร้อมด้วยการใช้ฟิลม์ไวแสงที่มี ISO 400 ขึ้นไป ปัจจุบันร้านถ่ายรูปทั่วไปมักไม่สต็อก
ฟิลม์กันแล้ว อาจต้องไปซื้อร้านเฉพาะกิจที่ขายฟิลม์เหล่านี้กับช่างภาพมืออาชีพโดยตรง
ฟิลม์ที่แนะนำทางฝั่งโกดักมี Kodak Tri-X 400, T-MAX 400 ทางค่ายฟูจิฟิลม์มี Fuji NeoPan 400, Neopan 1600
และ Neopan 3200 อย่าลืมว่ายิ่ง ISO สูงยิ่งทำให้มีเกรนในภาพมากขึ้น ฟิลม์ 400 พวกนี้สามารถเพิ่ม ISO ของฟิลม์
ขึ้นอีก 1-2 สต็อปได้ง่าย เช่นจากฟิลม์ ISO 400 เวลาถ่ายภาพเราสามารถ push เพิ่ม ISO 800 หรือเป็น ISO 1600
ได้ โดยต้องระบุเวลาส่งฟิลม์ไปล้างว่าได้เพิ่มหรือลดเท่าไร ทางแล็ปที่ล้างจะได้ เพิ่ม-ลด เวลาในการล้างให้เหมาะสม
กับภาพที่ถ่ายมาด้วย
จุดเด่นอีกจุดหนึ่งของกล้อง Rangefinder ที่เหนือกว่ากล้อง SLR ก็คือการที่กล้อง RF ไม่มีกระจกสะท้อนแสงหน้า
ชัตเตอร์ จึงทำให้ไม่มีความสั่นสะเทือนเวลากดชัตเตอร์ ผู้ถ่ายภาพจึงใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้มากกว่าถึง 1-2 สต็อป
ยิ่งใช้ประกอบกับฟิลม์ไวแสง ISO 400 ด้วยแล้ว เปรียบเสมือนมีระบบ IS กันสั่นในตัว ทำให้คล่องตัวในการถ่ายรูป
ตามท้องถนนมากขึ้น
กล้อง Rangefinder ของกล้อง Leica M series มีม่านชัตเตอร์เป็นผ้าสังเคราะห์ วิ่งในแนวนอน ทำให้กล้องไลก้า
เป็นกล้องที่ถ่ายภาพใช้มือถือในระดับความเร็วต่ำได้ดี และเสียงที่เกิดจากการกดชัตเตอร์จากม่านชัตเตอร์ผ้าจะเงียบ
กว่ากล้องที่ใช้ม่านชัตเตอร์โลหะ ไม่เกิดเสียงรบกวน เหมาะในการถ่ายภาพโดยที่ตัวแบบไม่มีสิทธิ์รู้ว่าได้ถูกบันทึกภาพ
ไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างของไลก้า
4. เทคนิคการถ่ายภาพ
สำหรับผู้ที่ชินกับกล้องดิจิตอล มักมีคำถามว่ากล้องแมนนวลธรรมดาแถมเลนส์ไม่ออโตโฟกัสอีกต่างหาก จะใช้
ถ่ายได้หรือครับ ตอบแบบฟันธงเลยว่า "ได้สบายมาก" ยกกล้องขึ้นมาก็ถ่ายได้ทันที เราจะทำได้ด้วยการ ตั้งค่าต่างๆ
ไว้ล่วงหน้า ในการเดินถ่ายภาพสตรีท สภาพแสงบริเวณนั้นจะใกล้เคียงกัน เราสามารถวัดแสงบริเวณใกล้เคียงกับจุด
ที่ต้องการถ่าย แล้วตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ หรือตั้งค่ารูรับแสงเตรียมพร้อมไว้ได้เลย
ที่นี้มาถึงเรื่องการปรับความคมชัด แน่นอนว่าการถ่ายภาพแนวไลฟ์ แนวแคนดิค อย่างนี้ ต้องอาศัยความไว มั่ว
แต่มานั่งหมุนโพกัสด้วยมือรอจนกว่าจะชัด รับรองไม่ทันรับประทานแน่ เราจะใช้ตั้งระยะชัดไว้ล่วงหน้า โดยที่กระบอก
เลนส์แมนนวล จะมีสเกลบอกระยะชัด (Depth of Field) ไว้ให้เสร็จต่างจากเลนส์สมัยใหม่ที่มีแต่กระบอกเปล่า ๆ ไม่
ได้ทำสเกลบอกตัวเลขสำคัญนี้ไว้
ลองดูจากในภาพนะครับ เลนส์ที่เห็นเป็นเลนส์ไวด์ของ Leica Summicron-M 35 mm. F/2 APSH ถ้าเราเปิด
หน้ากล้องกว้างสุดที่ f/2 ความคมชัดจะอยู่ที่ระยะ 2.5 เมตร หรือ 8 ฟุต
เท่านั้น แต่ถ้าเราหรี่หน้ากล้องให้แคบลงไปที่ f/11 ช่วงของความคมชัดจะเริ่มตั้งแต่ที่ระยะ 1.5 เมตร (5 ฟุต) ชัด
ตลอดไปจนกระทั่ง 10 เมตร (30 ฟุต) ทำนองเดียวกันถ้าเราปรับให้รูรับแสงแคบเท่าที่เลนส์ทำได้ ในที่นี้เป็น f/16
ความคมชัดจะเริ่มตั้งแต่ 1.2 เมตร (4ฟุต) เรื่อยไปจนสุดลูกหูลูกตาที่ระยะอินฟินิตี้
เพียงแค่ยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ถ่ายรูปได้เลย เวลาเราเดินถ่ายรูปอยู่ข้างถนน สายตาคงพอคาดเดาระยะระหว่างเรา
กับตัวแบบได้ ก็สามารถเลือกเปิดหน้ากล้อง คำนวณระยะชัดลึกชัดตื้นได้ เห็นไหมครับว่า เร็วอย่าบอกใครเชียว ดังนั้น
จึงไม่ควรไปดูถูกกล้องแมนนวลมือหมุน ช่างภาพสงครามสมัยเก่า ไม่มีทั้งออโตฯ โฟกัส ไม่มีตั้งค่าโปรแกรมอัตมัติต่าง ๆ
พวกเขายังสามารถจับภาพนาทีชีวิตที่สำคัญมาได้ด้วยวิธีการตั้งกล้องไว้ล่วงหน้าแบบนี้
ถ้าเราต้องการภาพอย่างที่ตัวแบบแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ลองใช้วิธีตั้งค่าต่าง ๆ ล่วงหน้าตามที่แนะนำไว้
แล้วเวลาเดินผ่านแบบ ห้อยกล้องไว้ที่คอตามปกติ ไม่ต้องยกกล้องขึ้นเล็ง ให้กดชัตเตอร์ได้เลย อาศัยการกะระยะระหว่าง
ตัวช่างภาพกับตัวแบบนิดหน่อยเท่านั้น เห็นไหมครับว่า ถ้าภาพแบบนี้สนุกดีออก ได้บริหารสมองด้วย โดยไม่จำเป็น
ต้องพึ่งเทคโนโลยียุคใหม่เลย
5. เทคนิคตัวช่างภาพ
การถ่ายภาพในแนวสตรีทดูไปดูมาคล้าย ๆ กับ เป็นการแอบถ่ายเหมือนกันนะครับ ดังนั้น
การแต่งกายของตัวช่างภาพเองก็มีส่วนช่วยด้วย แต่งกายให้กลมกลืนกับประชาชนท้องถิ่น ต้องไม่ให้เป็นที่สะดุดตา
แต่งตัวให้เข้ากับสังคมแวดล้อมที่เราต้องการไปถ่าย อย่าแต่งตัวจนเวอร์เกินเหตุ เช่น ใส่ชุดหมีสีส้มแบบพนักงานดับ
เพลิงไปเดินย่านเยาวราช อย่างนี้เป็นต้น
เสื้อกั๊กช่างภาพก็ไม่ควรใส่ด้วย เดียวจะเป็นที่สังเกตว่ามีช่างภาพระดับมือโปรมาเดินอยู่ใกล้ ๆ เป็นที่แตกตื่นได้
กระเป๋ากล้องไม่ต้องเอาใบใหญ่ติดตัวออกไป ให้หากระเป๋าใบเล็กกะทัดรัด ถ้ามองไม่เหมือนกระเป๋ากล้องได้ก็ยิ่งดี
อุปกรณ์ต่าง ๆ เอาติดตัวไปเท่าที่จำเป็นสำหรับภาระกิจในวันนั้น ภาพสตรีททั่วไปใช้แค่บอดี้กล้องและเลนส์อีก 2-3
ตัวก็น่าจะพอแล้ว อย่าลืมเตรียมฟิมล์ไปให้พอ อย่าแบกของหนัก เพราะเราต้องเดินถ่ายภาพข้างถนนเป็นวัน เดี๋ยวจะ
เดี้ยงหมดแรงเดินเสียก่อน จำไว้ว่าอุปกรณ์ต้องเบา คล่องตัว จะได้เดินถ่ายภาพได้นาน ๆ
สมมุติว่าเรากำหนดสถานที่ถ่ายภาพไว้แน่นอนแล้ว ถ้ามีเวลาควรเดินสำรวจดูรอบ ๆ ก่อน เมื่อได้เห็นภูมิประเทศจริง
เราอาจมีไอเดียเพิ่มเติมขึ้นมากก็ได้ ให้วางแผนการถ่ายรูปไว้ในใจ เมื่อเห็นจุดที่ต้องการถ่ายแล้ว ถือว่าจุดนั้นเป็น
Killing Zone สำหรับแบบที่จะเดินเข้ามา ให้วัดแสง ตั้งกล้อง ยืนรอพอตัวแบบเดินเข้าจุดก็สั่งยิงได้เลย
กรณีที่แบบหันมามอง หรือจำเป็นต้องให้เขาเห็นว่าเราจะถ่ายรูปเขา ให้ขออนุญาตก่อน ใช้ยิ้มให้เป็นประโยชน์
ยิ้มเข้าไว้ อย่าลืมใช้ยิ้มให้เป็นประโยชน์ ยิ้มเป็นเครื่องมือในการสร้างมิตรภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่นี้ถ้าตัวแบบ
เขาไม่ต้องการให้เราถ่าย ก็ต้องไม่ถ่ายจริง ๆ เดี๋ยวเป็นเรื่องเป็นราวเจ็บตัวเปล่า ๆ ครับ ให้พยายามเข้าใจกล้อง เล่น
กับกล้องให้คุณเคย เวลาที่นำออกมาใช้ต้องเสมือนว่ากล้องคืออวัยวะส่วนหนึ่งของรางกาย (จะ'เวอร์ไปมั๊ยเนี้ย....)
......ยิ้ม.....ครับ.....ยิ้ม......
คุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
ช่างภาพคนไทย ที่มีชื่อเสียงในแนวสตรีทนั้น คือ รตอ. สุรัตน์ โอสถานุเคาราะห์ ผู้ซึ่งมีผลงานรวบรวมเป็นหนังสือ
หลายเล่ม อาทิ Varnishing Bangkok No.1, Varnishing Bangkok No. 2 ฯลฯ นอกจากนี้ยังเคยเปิดการแสดง
ภาพถ่าย Street Photography หลายครั้งด้วยกัน
ปัจจุบันคุณสุรัตน์ เป็นนายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และเป็นประธานกรรมการ
บริษัท โอสถสภาจำกัด และประธานบริษัทในเครือทั้งหมด
อดีต เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ตอนนี้เป็นนายกสภามหาวิทยลัย เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ เคย
เป็น รมต. หลายสมัยคือ
พ.ศ 2518 เป็น รมต. ช่วยกระทรวงคมนาคม
พ.ศ. 2526 เป็น รมต. ช่วยกระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. 2528 เป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์
งานอดิเรก สะสมเครื่องชามสังคโลก, สะสมกล้องเก่า ซึ่งหลาย ๆ ตัวใน collection เหลืออยู่ไม่เกิน 3 ตัวในโลกมนุษย์
ปัจจุบันจะเห็นชายผู้สูงอายุ (77 ปี) สะพายกล้อง Leica เดินท่อม ๆ อยู่ตามข้างถนน เพื่อสร้างสรรค์งานถ่ายรูปแนว
สตรีทที่รักอยู่เกือบทุกวัน
Cowboy
http://www.thailandoutdoor.com/Photography/BecomePhotographer/becomephotographer.htmlhttp://www.thailandoutdoor.com/Photography/StreetPhotographer/streetphotographer.html